นางสาวศิริรัตน์ กิจพ่อค้า ประธานกรรมการ บริษัท มานา เนเจอร์อินโนเวชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านความงามทั้งสกินแคร์และผลิตภันฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์มานา“MANA”กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 ที่ผ่านมาในประเทศไทยบริษัทได้รับผลกระทบในช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความตระหนกในปัญหาดังกล่าวจึงอาจจะทำให้ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ประกอบกับในช่วงล็อคดาวน์ส่วนใหญ่ทุกคนอาจจะต้องกักตัวหรือทำงานอยู่บ้านกัน ทำให้อาจจะทำให้บริโภคสินค้าเกี่ยวความสวยความงามลดน้อยลง อีกทั้ง จำเป็นต้องไปหาซื้อของที่จำเป็นก่อนอย่างเช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เครื่องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น บริษัทจึงได้ทำการรีบปรับตัวทางธุรกิจอย่างไว โดยได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สินค้าเกี่ยวกับเจลล้างมือแอลกฮอลล์ออกมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการตลาดในช่วงเวลานั้นได้ทันท่วงทีส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ทดแทนในส่วนสินค้าที่โดนกระทบไปได้ อีกทั้ง ยังได้มีการปรับกลยุทธ์ในการพัฒนาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในกลุ่มคอลลาเจน แบบพรีเมี่ยม เพราะเห็นว่าคนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นในช่วงมีโควิด ซึ่งมียอดขายที่ดีมากในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 80% และสกินแคร์ 20%
ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าหลักในกลุ่มสกินแคร์ ได้แก่ แคปซูลเซรั่มข้าวสาเก ,มาสก์ข้าวสาเกมานา ,สบู่ข้าวสาเก ดีท็อกซ์ และ ครีมกันแดดข้าวสาเก เป็นต้น โดยสำหรับแผนธุรกิจในปีหน้า 64 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าเสริมอาหารเพื่อสุขภาพพร้อมกับวิจัยพัฒนาสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น หลังจากปีนี้ได้ร่วมกับพันธมิตรออกสินค้าอาหารเสริมในกลุ่มคอลลาเจนที่ทำให้มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ทั้งนี้ เรายังคงโฟกัสสำหรับรูปแบบของช่องทางจำหน่าย ยังคงเป็นระบบตัวแทนเช่นเดิม เน้นขายช่องทางออนไลน์เท่านั้น ไม่มีขายตามช่องทางค้าปลีก และไม่ใช่ระบบขายตรง ปัจจุบันมีตัวแทนที่แอคทีฟอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นคน แบ่งสัดส่วนเป็น กทม. ถึง 70 % ต่างจังหวัดที่ 30 %
ผู้บริหารสาว กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดสกินแคร์และอาหารเสริมปีหน้า (64) มองว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเหมือนในปีนี้ อีกทั้งก็จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงได้เตรียมวางงบทำการตลาดไว้ที่ 50 ล้านบาท ในการเตรียมปรับกลยุทธ์ พัฒสินค้าต่าง ๆ ใหม่ๆ ออกมาให้ปีหน้าให้โดดเด่น มีความคุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้จริงและตรงจุดมากขึ้น พร้อมจะมีเพิ่มโปรโมชั่น ลูกเล่นต่างๆ ทางการตลาดให้ลูกค้ารู้สึกว่าถ้าซื้อสินค้าเราไปแล้วคุ้มค้าและได้ผลลัพท์ที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน โดยเรามั่นใจว่าปีหน้าเราจะสามารถสร้างแบรนด์ของเราให้ชัดเจนและให้แข็มแข็งเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ซึ่งในเบื่องต้นตั้งเป้ายอดปีหน้าคาดว่าจะทำได้ราว 1,000 ล้านบาท สำหรับด้านตลาดต่างประเทศปัจจุบันได้ส่งสินค้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ พม่า กัมพูชา ลาว ซึ่งก็เติบโตค่อนข้างดี โดยปีหน้ามีแผนจะขยายตลาดไปยังประเทศจีน เวียตนาม และ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น