แก้โกง!!..ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

แก้โกง!!..ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา โดยจะเข้ามาสืบทอดงานและสานต่อภารกิจจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เคยกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศไว้ก่อนแล้วเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่เมื่อเข้าควบคุมอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา

1 ในนโยบายรัฐบาลที่สำคัญคือ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐและจะต้องทำควบคู่ไปกับการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะมูลเหตุแห่งการเข้ามาบริหารประเทศ สืบเนื่องมาจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นประเด็นสำคัญ และถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้อง “ทำก่อน ทำจริง และทำทันที” โดยเฉพาะระบบราชการที่ได้เน้นให้เป็นหนึ่งในนโยบาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างเร่งด่วน

การเดินหน้าอย่างจริงจัง เข้มข้น กับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลประยุทธ์ หากสามารถทำได้จริงและมีความพยายามรื้อระบบ ล้างคราบไคลการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจน เครือข่ายก๊วนโกงที่สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของชาติจำนวนมหาศาล และที่สำคัญคือ การนำคนโกงงบประมาณแผ่นดินชาติมาลงโทษให้ได้ก็ถือเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากสังคมไทยนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยาก แต่การบรรเทาอาการให้เบาบางลงนั้นเป็นไปได้ เพราะคอร์รัปชั่นเกิดจากกิเลส คือความอยากซึ่งเป็นธรรมชาติของคน โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจซึ่งมีโอกาสดีกว่าคนอื่น การแก้ไขจึงต้องทำจากบนมาล่าง คือรัฐบาลหรือนักการเมืองต้องเป็นผู้เริ่มปฏิบัติ แต่ถ้าแก้จากข้างล่างขึ้นไปนั้นเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้

ในรายงานเรื่อง Corruption Indicators โดย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศที่มีประชาธิปไตยมานานกว่า 40 ปีจะมีคอร์รัปชั่นลดลง แต่กรณีของไทยไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไทยมีประชาธิปไตยมายาวนาน 80 ปีแล้ว หากนับตั้งแต่ปี 2475 แต่มีประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบ จึงยากที่จะนับว่าเรามีประชาธิปไตยมากี่ปี และที่ปัญหาคอร์รัปชั่นไทยไม่ลดลงก็ต้องทบทวนว่าเพราะเหตุใด

แม้ไทยมีองค์กรตรวจสอบความโปร่งใสจำนวนมากแต่คอร์รัปชั่นนั้นไม่ลดลงจึงต้องทบทวนการทำงานตรวจสอบขององค์กรเหล่านั้นด้วยว่าอิสระจริงหรือไม่ในการทำงาน เนื่อง จากยังมีบางองค์กรอิสระที่ต้องพึ่งนโยบายรัฐอยู่ จึงต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใส โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐในการทำงาน

ส่วนการคอร์รัปชั่นที่กระทบภาคธุรกิจ พบว่า ปัญหาชัดเจนที่อ้างอิงได้จากดัชนีที่ต่างชาติจัดทำคือ ภาคการเมืองคอร์รัปชั่น ส่วนจุดแข็งคือภาคธุรกิจและการเงิน จึงน่าเสียดายที่การเติบโตของไทยถูกถ่วงน้ำหนักจากภาคการเมือง คอร์รัปชั่น ที่เกิดจากภาคการเมืองมาทำร้ายธุรกิจไทย

“ดร.บุญวรา สุมะโน” นักวิชาการประจำทีดีอาร์ไอ ผู้ให้ข้อมูลผลวิจัยหัวข้อ “ดัชนีการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทย : ต่างชาติเขามองเราอย่างไร” ระบุว่า หากอ้างอิงตามดัชนีชี้วัดคอร์รัปชั่น หรือ CPI ที่จัดทำโดยองค์กรวัดความโปร่งใสนานาชาติ ซึ่งจัดอันดับในทุกๆ ปี จะเห็นว่า สถานการณ์คอร์รัปชั่นในไทยแย่ลงตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2553-2556 ไทยได้รับอันดับแย่ลงตามลำดับคือ อันดับที่ 78, 80, 88 และ 102

“... คอร์รัปชั่นในประเทศไทยน่าเป็นห่วง เพราะได้อันดับโลกต่ำกว่าฟิลิปปินส์ ทั้งที่ไทยมีสถานะทางเศรษฐกิจดีกว่า และนักธุรกิจนานาชาติมองว่า การคอร์รัปชั่นเป็นปัจจัยที่น่ากังวลในการมาลงทุน... ”

ขณะที่ ดร.บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ให้ความเห็นถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในไทยว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นจึงต้องแก้ไขพร้อมกันทั้งระบบ ซึ่งจากการศึกษาวิธีการแก้ไขปัญหาของประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นรุนแรงในอดีต อย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ พบว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหาคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วย

1.การบังคับใช้กฎหมาย ต้องเข้มแข็ง ใครทำผิดต้องถูกจับกุมดำเนินคดี และต้องจับปลาใหญ่ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในภาครัฐหรือภาคธุรกิจ หากคอร์รัปชั่นต้องมีแนวทางบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญสุดที่ต้องทำให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้ประชาชนจะไม่เชื่อถือ ดังนั้นต้องกลับมาพิจารณาว่ากรอบของกฎหมายที่มีอยู่เข้มงวดแล้วหรือไม่ และจะบังคับใช้กฎหมายได้อย่างไร 

2.นโยบายเศรษฐกิจ ต้องอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันเสรี เป็นธรรม ไม่ผูกขาด ตัดตอน เพื่อปิดช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น      

3.กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ นำเทคโนโลยีในการประมูลที่มีประสิทธิภาพเข้ามาใช้ เช่น ระบบสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ การเปิดเผยเอกสารที่กำหนดขอบเขตและรายละเอียดของการจัดซื้อจัดจ้าง (TOR) เป็นต้น    

4.ภาคธุรกิจ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง สร้างมาตรฐานในการทำธุรกิจ คุณธรรม จริยธรรม เพราะภาคธุรกิจเป็นซัพพลายของการคอร์รัปชั่น หากไม่เข้าร่วมกระทำผิด ซัพพลายหรือคนจ่ายเงินก็จะลดน้อยลง และ 5.ภาคประชาชน ต้องตื่นตัวใช้สิทธิใช้พลัง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ยอมให้มีการคอร์รัปชั่นอีกต่อไป      

“3 ข้อแรกเป็นสิ่งที่ต้องคาดหวังจากภาครัฐมากที่สุด ส่วนภาคธุรกิจกับประชาชนตอนนี้เริ่มเห็นการตื่นตัวแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายร่วมผลักดันไปพร้อมๆ กัน เราต้องเชื่อมั่นว่าการคอร์รัปชั่นสามารถแก้ไขได้ เพราะลึกๆ แล้วคนไทยและเยาวชนรุ่นใหม่ไม่ชอบการทุจริต แต่ต้องมีผู้ใหญ่หรือผู้นำทำให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน การแก้ไขปัญหาถึงจะเริ่มเห็นผล” นายบัณฑิต กล่าว 

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนนับเป็นหน่วยงานสำคัญอีกหน่วยงานในการร่วมปราบคอร์รัปชั่น ซึ่งอาจเป็นการทำข่าวเชิงสืบสวน สอบสวน เพราะสื่อสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในเชิงลึกได้อย่างแม่นยำ และเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วจึงจะส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน

ทั้งนี้ สื่อมีบทบาทต่อสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะสามารถสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงความเสียหายของการคอร์รัปชั่นและร่วมปราบปรามอย่างจริงจัง

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น จะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการวิธีการลงโทษการปลูกฝังอุดมการณ์ คุณธรรมจริยธรรม ให้ปฏิเสธการโกง ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนก็มีทัศนคติในเรื่องดังกล่าวนี้ไปในทางที่ดีขึ้น!!


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ