นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้เปิดตัวแบรนด์ร้าน “เขียง” มากว่า 1 ปีและมีรูปแบบในการขยายสาขาภายใต้โมเดลแฟรนไชส์ โดยเราได้วางกลยุทธ์ให้แบรนด์ดังกล่าวเป็นแบรนด์เรือธงในกลุ่มร้านอาหารไทยตามสั่งแนวสตรีตฟู้ดที่มีรสชาติถูกปากคนไทยในราคาที่เข้าถึงในทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยที่มุ่งเน้นเป็น Omni Model ทั้งแบบ Dine in และแบบบริการเดลิเวอรี่ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่สนใจซื้อแฟรนไชส์เพื่อเปิดร้านเป็นจำนวนมาก จากช่วงแรกที่บริษัทฯ ลงทุนขยายสาขาเอง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการให้บริการเดลิเวอรี่โดยเข้าร่วมให้บริการผ่าน Call Center 1376 Delivery หรือแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารชั้นนำ อาทิ LINE MAN, Grab, foodpanda, Gojek ฯลฯ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็วในการสั่งอาหารมารับประทาน
ทั้งนี้ ปัจจุบันร้านเขียงแบ่งรูปแบบสาขาเป็น 2 โมเดลคือ แบบสแตนดาร์ดและแบบโลว์คอสต์ ประกอบด้วย 8 รูปแบบคือ สาขาในคอมมิวนิตี้มอลล์, ฟู้ดคอร์ท, สถานีบริการน้ำมัน, เทสโก้โลตัส, สถานีรถไฟฟ้า MRT, ตึกแถว, แบบสแตนอโลน, และภายในห้างสรรพสินค้า กระจายในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่เป็นเมืองเศรษฐกิจ อาทิ เชียงใหม่, หาดใหญ่ เป็นต้น ทำให้ร้านเขียงมีรูปแบบสาขาที่หลากหลายสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ ทั้งในย่านธุรกิจ ย่านชุมชน คอนโดฯ ที่ทำงาน รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือห้างสรรพสินค้า โดยภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายว่าจะขยายร้านเขียงได้ครบ 100 สาขา จากปัจจุบันที่เปิดแล้วกว่า 80 สาขา ส่วนใหญ่เป็นการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ คาดยอดขายสิ้นปีกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เขียงก้าวขึ้นเป็นแบรนด์สตรีตฟู้ดร้านอาหารไทยตามสั่งแบบ Omni Model ที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย เสมือนร้านสะดวกซื้อของอาหารตามสั่ง
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า บริษัทได้วางแผนงานขยายสาขาแบรนด์ร้านเขียงในปีหน้าหน้า (2564) ซึ่งยังคงจะมุ่งเน้นการขยายแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยในส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันได้ข้อสรุปแผนงานขยายแฟรนไชส์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีกไม่ต่ำกว่า 100 สาขา ในจำนวนนี้คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการทำสัญญากับแฟรนไชส์ 2 ราย ที่ต้องการขยายร้านเขียงประมาณ 60 สาขาในปีหน้า จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนแฟรนไชส์แบรนด์ดังกล่าวบริษัทฯ คิดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์แรกเข้า 600,000 บาท ค่าธรรมเนียมลอยัลตี้และมาร์เก็ตติ้งเดือนละ 15,000 บาท และเงินลงทุนอีก 1 - 2 ล้านบาท สำหรับเปิดร้านขนาดพื้นที่ 40 - 50 ตารางเมตร รองรับได้ประมาณ 20 - 30 ที่นั่ง โดยสาขาส่วนใหญ่สามารถสร้างยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาท (ขึ้นกับทำเลและจังหวัดที่เปิดบริการ) และบางสาขาที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีสามารถสร้างยอดขายได้ถึงเดือนละ 600,000 – 800,000 บาท ดังนั้นหากตั้งอยู่ในทำเลที่ดีจึงมีโอกาสคืนทุนภายในระยะเวลา 1 - 3 ปี