นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายดีขึ้นแล้ว แต่น่านฟ้าในประเทศเรายังคงปิดอยู่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวภายในประเทศไทยได้ และแน่นอนในส่วนของศูนย์การค้าเอมบีเคเองนั้นกลุ่มลูกค้าหลักของเราส่วนใหญ่คือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัดส่วนอยู่ราว 60-70 % และมีการเดินเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ราว 8 หมื่น – 1 แสนคนต่อวัน มีการจับจ่ายใช้สอยภายในศูนย์ประมาณ 4000 บาทขึ้นไปต่อคน และจากสถานการณ์ดังกล่าวต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบกับธุรกิจของเราอย่างรุนแรง ดังนั้นเราจึงมาทบทวนแล้วว่าเราจะมารอในส่วนของเรื่องการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างเดียวไม่ได้แล้ว จากที่เราได้มีการวางแผนไว้แล้วว่าจะทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบภายในศูนย์การค้าใหม่ตั้งแต่ปี 62 แล้ว และจากสถานการณ์โควิดนี้ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นผลให้ทางศูนย์เร่งในการปรับโฉมรูปแบบใหม่ภายในศูนย์การค้าใหม่ทั้งหมดให้เร็วมากขึ้นเพื่อขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าคนไทย
ทั้งนี้ เราได้เตรียมงบราว 1,000 กว่าล้านบาท ในการลงทุนปรับปรุงพื้นที่และจัดโซนนิ่งร้านค้าใหม่ทั้งศูนย์ครั้งใหญ่ภายในศูนย์จากกลุ่มแฟชั่นไปโฟกัสในส่วนของร้านอาหารของกินมากขึ้น เพราะปัจจุบันพบว่าพฤติกรรมของลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่เข้ามาใช้จ่ายในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเป็นสัดส่วน 89 % ของผู้ที่เข้ามาใช้บริการสินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า ,รองเท้า ,กระเป๋า ,เครื่องประดับ) เป็นสัดส่วน 38 % สินค้าอุปโภคบริโภคในท็อปส์ 23 % ชมภาพยนตร์/เล่นเกมส์ 21 % โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ 19 % เป็นต้น ซึ่งในเฟสแรกจะทำการปรับเปลี่ยนชั้น G ทั้งหมดจนถึงตรงสกายวอร์คและชั้น 2 ให้เป็นแนวร้านขายอาหารทั้งหมด โดยในเบื่องต้นแผลนว่าจะให้เป็นร้านอาหารที่เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า และในบางร้านสามารถเปิดได้ถึงตี 5 แต่อาจจะยังไม่ถึงรูปแบบเปิดบริการ 24 ชั่วโมง โดยเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มเป้าหมายคนทำงานออฟฟิศ และนักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในบริเวณย่านนี้ ให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
พร้อมกันนี้ ในชั้นอื่นๆ ก็จะมีการปรับโฉมใหม่ของร้านค้าต่างๆ ภายในศูนย์ อาทิ โซนสินค้าแฟชั่น จิวเวอรี่ และสินค้าของฝากที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะรวมอยู่ที่ชั้น 3 ทั้งหมด และส่วนชั้น 4 โซนโทรศัพท์มือถือยังเป็นแม็กเน็ตที่สำคัญ โดยจะปรับพื้นที่ให้สวยงามมีพื้นที่ระหว่างทางเดินมากขึ้น ต่อไปชั้น 5 จะเป็นEducation Zone ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชาใจกลางกรุง โดยเริ่มเปิดให้บริการบ้างแล้ว อาทิ สถาบัน KPH และจะเปิดเต็มรูปแบบครบ 19 สถาบันในต้นปี 2564 อาทิ On demand ,Sup K ,ดาวองซ์ , Excellent ,ภาษาไทย อ กอล์ฟ ,บ้านวิชาการ ,We by brain ,Nisit tutor ,Eureka เป็นต้น และนอกจากนี้ ชั้น 5 จะเป็นโซนบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความงาม นวด สปา เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ปกครองที่มาดูแลบุตรหลาน อีกทั้งยังมี โซนบริการทำพาสสปอร์ตอีกด้วย และชั้น 6 ก็จะเป็นส่วนของโซน co-working space และออฟฟิศเช่า ส่วนชั้น 7 นั้นก็จะเป็นโซนของโรงภาพยนต์ SF เช่นเดิม โดยทั้งหมดนี้คาดแล้วจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมกราคมปีหน้า (2564)
ล่าสุด เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เปิดตัวแคมเปญ ช้อป ชิม โชว์ GO MBK ครบเครื่องทุกเรื่องความสุขของคนไทยที่เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์เพิ่มความถี่อีเวนต์ชู “LifeStyle – Entertainment Event” เพื่อตอกย้ำการรับรู้ในภาพลักษณ์ว่าเป็นศูนย์การค้าของคนไทยที่มีร้านค้า สินค้า บริการ และ อีเวนต์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าคนไทย คาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในไตรมาสสุดท้าย และขยายฐานลูกค้าคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เด็กนักเรียน นิสิตนักศึกษา และวัยทำงาน ให้เข้ามาใช้บริการในศูนย์ฯ มากขึ้น จากปัจจุบันมีลูกค้าคนไทยมาใช้บริการมากสุดอยู่ราว 4 หมื่นกว่าคน ต่อวัน น้อยสุดราว 3 หมื่นคน โดยหลังจากที่เราได้เริ่มทยอยปรับโฉมใหม่ของร้านค้าต่างๆ ภายในศูนย์ใหม่ พร้อมจัดทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยตั้งเป้าว่าจะสามารถผลักดันลูกค้าคนไทยให้เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์เพิ่มมากขึ้นเป็น 5 หมื่น คน ต่อวัน