วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายความงามอันดับ 1 จากประเทศฝรั่งเศสแบรนด์ Yves Rocher (อีฟ โรเช่) กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่ามูลค่าตลาดรวมของธุรกิจความงามและเครื่องสำอางในประเทศไทยอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อปี ซึ่งในปัจจุบันอาจมีอัตราที่ลดลงจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์เราต้องไม่หยุดพัฒนา และเป็นที่มาของการพลิกโฉมครั้งสำคัญของแอีฟ โรเช่ ที่ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่และครั้งแรกในรอบ 60 ปี ประกาศปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์พร้อมกันทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยมุ่งเน้นปรับ Mood & Tone ของผลิตภัณฑ์และภาพลักษณ์โฆษณาต่างๆ ให้มีสีสันสดใสขึ้นที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบตัวที่บ้านเกิดแบรนด์ เมืองลา กาซิลี แคว้นบริตทานี ฝรั่งเศส ทั้งป่า มหาสมุทร หรือแม้กระทั่งมอสที่ขึ้นตามพื้นดิน เป็นการแสดงความหมายของธรรมชาติแบบโมเดิร์นขึ้น และมีความแอคทีฟเพื่อสื่อถึงความเป็นแอคทิวิสมากยิ่งขึ้น โดยในเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป อีฟ โรเช่จะเป็นแบรนด์แรกในตลาด ที่ 100% ของสินค้าทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลซึ่งสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% และยังลดใช้สารต่างๆ ในสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ อีฟ โรเช่ จึงได้เตรียมแผนการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ รวมถึงขยายการรับรู้ในการรีเฟรชครั้งนี้ให้ดูแอคทีฟเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น และยังโฟกัสชูกลยุทธ์แบรนด์ภายใต้คอนเซปต์ “สวยโลกไม่เสีย” และพยายามรักษาฐานลูกค้าเก่าที่มี ด้วยการสร้าง Brand Love ผ่าน Omni-Channel และ CRM เพื่อสื่อสารกับลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดและตรงใจ พร้อมเดินหน้ารุกตลาดออนไลน์ในรูปแบบ Digitalized Omni-Channel เชื่อมโยงออฟไลน์ ออนไลน์ที่ได้เริ่มทำมาตั้งแต่หลัง Covid-19 จะมีการเสริมทัพด้วยอีกหนึ่งโปรแกรมที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ คือ การขายด้วยรูปแบบโซเชี่ยลเซลลิ่งที่จะสามารถเพิ่มรายได้เสริมจากการแชร์ข้อมูลสินค้าไปบน Social Media Platform ของสมาชิก ผ่านการจัดแคมเปญใหญ่ “ช้อป แชร์ ได้เงินชิลชิล” หวังเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในยุคดิจิตัล ได้มากยิ่งขึ้น โดยเราตั้งเป้าว่าจากแผนกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว จะทำให้แบรนด์ อีฟ โรเช่ ครองแชมป์แบรนด์เลิฟกรีนบิวตี้อันดับ 1 และจะสามารถผลักดันยอดขายในปีหน้า 2564 โตขึ้น 7% แบ่งเป็นตลาดออนไลน์ 40% ตลาดออฟไลน์ 60% ซึ่งตั้งเป้าอีกภายใน 3 ปี จะดันยอดขายเติบโตเป็นเท่าตัว
พร้อมกันนี้ แบรนด์ยังเตรียมทำการตลาดผ่านพรีเซ็นเตอร์ใหม่เพิ่มอีกถึง 2 คนในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแบรนด์ทั้งในแง่ของการพรีเซนต์สินค้าและการทำกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างใกล้ชิดและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ ยังคงเน้นสินค้ากลุ่มสกินแคร์และแฮร์แคร์ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เตรียมทยอยออกสินค้าใหม่อีกหลายรายการ ซึ่งมั่นใจว่าสิ้นปีรายได้จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอนแม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์โควิดมา