สีเบเยอร์ เปิดตัว สีทาภายในสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและอาคาร เกรดอัลตร้าพรีเมี่ยม “เบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน” (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) มาพร้อมนวัตกรรมอันป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเบเยอร์ที่ให้มากกว่าสีทาภายในตอกย้ำความเป็นผู้นำสีนวัตกรรมตัวจริง ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ “โกลด์ ไอออน” (Gold Ion Technology) รายแรกของวงการสีให้ทั้งความสะอาดและกำจัดเชื้อโคโรนาไวรัสพร้อมผลการรับรองจากสถาบันสุขภาพระดับโลก
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เบเยอร์ จำกัด กล่าวว่า มูลค่าตลาดสีทาอาคารของปี 2020 ถูกประมาณการไว้ที่ 20,000 ล้านบาทซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-15% จากสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมอีกทั้งการเกิดโรคระบาดโควิด-19ที่ฉุดตลาดรวมของประเทศลงอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับเป็นเรื่องดีสำหรับเบเยอร์เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การให้ความสำคัญกับสินค้านวัตกรรมสุขภาพซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้อย่างตรงจุดทั้งนี้เบเยอร์มีการเติบโตราว 4% ในช่วงครึ่งปีแรกจากปัจจัยการเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งด้านนวัตกรรมสีทาอาคารและจากผู้บริโภคที่เน้นสีทาอาคารที่มีคุณสมบัติมากกว่าเพื่อความสวยงามและปกป้องอาคารแต่เลือกซื้อสีนวัตกรรมที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นด้วย
อีกทั้งครอบคลุมด้วยตัวแทนจำหน่ายที่มากกว่า 3,000 จุดทั่วประเทศ พร้อมใช้กลยุทธ์การขายแบบ Consumer-Centric ให้ผู้บริโภคได้สอบถามรับข้อมูลคุณสมบัติพิเศษของสินค้าจากพนักงานขายทั้งนี้เบเยอร์หวังว่าเราจะมีส่วนช่วยในการสร้างพื้นที่ปลอดโรค พื้นที่สะอาดให้กับผู้บริโภคและคนไทยได้อีกช่องทางหนึ่งได้เปิดเผยถึงแนวคิดการพัฒ
ล่าสุด บริษัทได้พัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งมีผู้ติดเชื้อกว่า 32 ล้านคนและเสียชีวิตกว่า 960,000 คนทั่วโลกได้กระตุ้นให้เกิดความท้าทายแก่องค์กรในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆมาทดแทนเทคโนโลยีซิลเวอร์ ไอออน (Silver Ion) ที่กำลังจะล้าหลังเพื่อนำมาซึ่งการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) จึงทุ่มทุนวิจัยและพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมสุดล้ำสำหรับสีทาภายในได้สำเร็จโดยเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยี โกลด์ ไอออน (Gold Ion Technology) มาผสานเข้ากับนวัตกรรมไฮเทคของเบเยอร์ ทำให้มีคุณสมบัติกำจัด Human Coronavirus NL63 ได้จริงโดย โกลด์ ไอออน (Gold Ion Technology) เป็นอนุภาคแร่ทองคำบริสุทธิ์ มีขนาดเพียง 30 นาโนเมตรและเล็กกว่าโคโรนาไวรัสถึง 4 เท่า จึงสามารถเจาะทะลุทะลวงผ่านเยื่อหุ้มที่เป็นผนังชั้นไขมันที่หนาเข้าไปทำลายสารพันธุกรรม (RNA) ถึงแกนกลางทำให้ไวรัสไม่สามารถเติบโตและแพร่เชื้อได้จึงสลายไปในที่สุด
ดร.วรวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า เบเยอร์ในฐานะผู้นำสีนวัตกรรมสำหรับทาอาคารในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนตระหนักถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นสำคัญแต่ด้วยข้อจำกัดของอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีสถาบันรับทดสอบ Human Coronavirus NL63 ซึ่งเป็นโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงในมนุษย์ทางเบเยอร์จึงได้ส่งผลิตภัณฑ์สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) ไปทดสอบประสิทธิภาพ การกำจัดเชื้อ Human Coronavirus NL63 ถึงประเทศอังกฤษ
สำหรับวิธีการทดสอบโดยการนำเชื้อ Human Coronavirus NL63 ไปทดสอบกับแผ่นจำลองผนังบ้านที่ทาด้วยสีทั่วไปเปรียบเทียบกับสีทาภายในเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) พบว่าฟิล์มสีที่เคลือบผนังจะมีโกลด์ ไอออน (Gold Ion) อัดแน่นเต็มแผ่นฟิล์มโดยผลการทดสอบปรากฎว่า สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) สามารถกำจัดเชื้อ Human Coronavirus NL63 ได้ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ประสิทธิภาพการกำจัดเชื้อโคโรนาไวรัสได้ผลดีเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 12 เท่า (ค่ามาตรฐานทั่วไปให้ผลที่ 24 ชั่วโมง) ทดสอบและรับรองโดยสถาบันสุขภาพ Virology ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านไวรัสวิทยาระดับโลกซึ่งเทคโนโลยีล่าสุด โกลด์ ไอออน (Gold Ion) ที่เบเยอร์เลือกมาพัฒนานั้นเป็นแร่ทองคำบริสุทธิ์มีความเสถียรกว่าและปลอดภัยกว่า แร่เงิน (Silver Ion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดิมๆปัจจุบันเทคโนโลยีล่าสุด โกลด์ ไอออน (Gold Ion) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อาหาร เครื่องสำอางและวงการแพทย์ที่นำมาใช้รักษาอาการอักเสบต่างๆ
จากการศึกษาวิจัยพบว่าไวรัสโคโรนานั้นมีหลายสายพันธุ์ซึ่งก่อให้เกิดโรคได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ เช่น Porcine Coronavirus เป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคท้องเสียรุนแรงในสัตว์ เช่น หมู โดยเฉพาะในลูกหมูที่เพิ่งคลอดทำให้เกิดความเสียหายแก่เกษตรกรผู้เลี้ยง แต่ปัจุบันเชื้อ Porcine Coronavirus มีวัคซีนป้องกันไม่ให้เกิดโรคในหมูได้ ส่วนเชื้อโคโรนาไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ หรือ Human Coronavirus ที่สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion )ได้รับการรับรอง ตามมาตรฐาน CDC (Centers for Disease Control and Prevention)และ WHO หรือองค์การอนามัยโรคได้แก่ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ NL63, 229E, OC43 และ HKU1 เป็นสาเหตุให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และปอดอักเสบรุนแรง ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
นอกจากนี้ สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด ถึง 3 คุณสมบัติ ได้แก่ แอร์คลีน (Air Clean) นวัตกรรมสีฟอกอากาศ สามารถดูดซับสารฟอร์มัลดีไฮด์หรือสารก่อมะเร็งและยังฟอกอากาศได้ 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีกลิ่นอ่อนสามารถเข้าอยู่ได้ภายใน 5 นาที หลังสีแห้งประกอบกับคุณสมบัติ ไบโอ คลีน (Bio Clean) นวัตกรรมสีที่สามารถกำจัดได้ทั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราไม่เพียงกำจัดเชื้อโคโรนาไวรัสได้เท่านั้นแต่ยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัส H1N1 และไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปากโดยผ่านการรับรองจากสถาบันสุขภาพ Airmid ประเทศไอร์แลนด์ อีกด้วยและคุณสมบัติ วอลล์ คลีน (Wall Clean) นวัตกรรมสีทาภายในที่สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย ทนการเช็ดล้างกว่า 200,000 รอบ
อย่างไรก็ตาม สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion) เป็นนวัตกรรมล่าสุดที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากสถาบันสุขภาพทั้งในและต่างประเทศนอกเหนือจากคุณสมบัติกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้วยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยจาก CDPH (California Department of Public Health) ผ่านมาตรฐาน U.S. FDA และผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (LEED v.4) จากสหรัฐอเมริกา อีกด้วย
“เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตใหม่ (New Normal)ในยุคโควิดซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นจะต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิตรักษาระยะห่างทางสังคมและทำงานที่บ้านหรือ Work from Home มากขึ้นดังนั้นบ้านจึงต้องเป็นสถานที่ปลอดภัยแก่ผู้พักอาศัยให้สามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีความสุขคาดว่าสีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ ไอออน (BegerShield Anti-Virus Gold Ion)จะตอบโจทย์และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับกลุ่มครอบครัวผู้สูงอายุและกลุ่มผู้รักสุขภาพจัดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจะเรียกว่าเป็น New Normal Paint ก็ว่าได้และเทคโนโลยีนี้ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำสีนวัตกรรมของเบเยอร์อย่างแท้จริงยากที่ใครจะตามทัน” ดร.วรวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย