เมื่อกล่าวถึงมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยแล้วได้ส่งสัญญาณการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องโดยข้อมูลจากทาง Priceza เผยว่ามีมูลค่าปี 62 เติบโตสูงถึง 163,300 ล้านบาทและเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 ในไทย ยิ่งผลักผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นส่งผลให้ตัวเลขตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยปีนี้ (63) อาจจะพุ่งสูงถึง 220,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า
และถ้าพูดถึงผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมาร์เกตเพลสเจ้าหลักๆรายใหญ่ๆจากต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยและได้รับความนิยมมากสุดคงหนีไม่พ้น 2 แบรนด์ นี้ คือ “ช้อปปี้” และ “ลาซาด้า” นั้นเองที่เชื่อว่านักช้อปปิ้งออนไลน์ส่วนใหญ่จำนวนมากคงรู้จักกันเป็นอย่างดียิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ประเทศไทยได้มีการล็อคดาวน์ไปนั้นส่งผลให้ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าทั่วไปไม่สามารถเปิดได้ตามปกติทำให้ทุกคนต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านและต้องหันมาพึ่งพาการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้นเลยยิ่งเป็นปัจจัยบวกอย่างมากที่ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
*** ช้อปปี้ ประเทศไทย เผย วิกฤติโควิด-19 กระตุ้นเร่งตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยขยายตัวพุ่งเร็ว อานิสงค์ดันฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่ม พร้อมปั้นธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้ารองรับผู้ซื้อขายสินค้าออนไลน์โตต่อเนื่อง ***
ด้าน สุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า จากข้อมูลของ Google-Temasek-Bain ระบุว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2019 มีมูลค่า 38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดการณ์ ปี 2025 มูลค่าเพิ่มเป็น 153,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 302% ส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ปี 2019 มูลค่าอยู่ที่ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดการณ์ปี 2025 มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 260% นั่นหมายถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยจะเติบโตต่อเนื่องภายในอีก 5 ปีนับจากนี้
สำหรับช้อปปี้ในประเทศไทยนั้นในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิดที่ผ่านมาส่งผลให้ตลาดรวมอีคอมเมิร์ซในไทยครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตพุ่งสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็วเพราะจากเหตุการณ์ที่ประเทศไทยได้ล็อกดาวน์และทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงกลายมาเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภคและการหาพื้นที่ขายสินค้าของผู้ประกอบการจากการที่มีการปิดบริการห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ต่างๆ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงพบว่าลูกค้าของช้อปปี้ใช้ระยะเวลาในการอยู่ในแพลตฟอร์มเราเพิ่มขึ้นกว่า 20% และ ฟีเจอร์ Shopee Live มียอดผู้ชมถึง 60 ล้านวิว ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
อีกทั้ง ส่งผลให้กลุ่มสินค้า 4 ประเภทที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงโควิด ได้แก่ คอนซูเมอร์ โปรดักท์,สินค้าดูแลสุขภาพ,ของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์จัดสวนและต้นไม้และยังทำให้ช้อปปี้มีฐานลูกค้านักช้อปออนไลน์หน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มคนมีอายุราวตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ชายและกลุ่มคนต่างจังหวัด จากเดิมที่ฐานตลาดใหญ่สุดของช้อปปี้คือกลุ่มอายุ 18-35 ปี ทั้งนี้ ปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าที่ดาวน์โหลดแพลตฟอร์มเราในไทยประมาณ 30 ล้านดาวน์โหลดโดยบริษัทตั้งเป้าหมายว่าในสิ้นปีนี้จะมียอดเพิ่มเป็น 70 ล้านดาวน์
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาการจัดส่งพัสดุที่รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีความปลอดภัยเมื่อซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อไม่นานมานี้ช้อปปี้จึงได้เปิดให้บริการด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าเพื่อเสริม ecosystem ธุรกิจให้แข็งแกร่งและครบวงจรตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนันบสนุนแบรนด์ธุรกิจและผู้ขายให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยช้อปปี้มุ่งมั่นในการเตรียมความพร้อมของระบบคลังสินค้าและการจัดส่งสินค้าให้แก่แบรนด์ธุรกิจและผู้ขายเพื่อให้สามารถเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายสูงสุดของตลาดอีคอมเมิร์ซ
ทั้งนี้ในช่วงใตรมาสที่ 3 ของทุกปี บริษัทต้องจัดกิจกรรมการตลาดโดยเฉพาะการจัดมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ Shopee 9.9 Super Shopping Day ที่ได้จัดมาต่อเนื่องเป็นที่ 5 แล้วซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ในระดับภูมิภาคแห่งปีโดยปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเนื่องจากประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันจะต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่โดยจะจัดตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ ตั้งแต่ 20 สิงหาคม-9 กันยายน 2563 ที่เราจะมอบทั้งความบันเทิงและดีลเด็ดห้ามพลาดในทั้ง 7 ประเทศทั่วภูมิภาคผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) การสร้างความแข็งแกร่งของ Ecosystem 2) การส่งเสริมร้านค้าและผู้ขายให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง 3) การเซอร์ไพรส์ผู้ใช้งานด้วยประสบการณ์ทางความบันเทิงและดีลเด็ดห้ามพลาดมาใหนักช้อปได้เต็มอิ่ม
สำหรับ “แคมเปญดังกล่าวเป็นแคมเปญที่มีความสำคัญต่อที่ช้อปปี้เนื่องจากแคมเปญ 9.9 เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ 2559 เพื่อเติมเต็มศักยภาพของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้และตั้งแต่นั้นมาแคมเปญ 9.9 ได้กลายเป็นการเฉลิมฉลองประจำปีที่รวบรวมคนนับล้านเข้าด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้เพราะเราทุกคนหันมาใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลและเข้าถึงอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
โดยช้อปปี้คาดหวังว่าแคมแปญดังกล่าวปีนี้จะประสบความสำเร็จมากกว่าหรือเทียบเท่ากับในปีที่ผ่านมา (2562) ซึ่งในวันที่ 9 กันยายนปี 62 ที่ผ่านมาแบรนด์และร้านค้าที่ร่วมมือกับช้อปปี้ ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายด้วยจำนวนการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นกว่า 5,306 เท่า และยอดขายเติบโตกว่า 480 เท่า เมื่อเทียบกับวันปกติยอดออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า และ ในช่วงที่ขายดีที่สุดกว่า 187,606 ไอเท็มถูกขายออกใน 1 นาที และ มากกว่า 113 ล้านดีล จากสินค้าทุกหมวดหมู่
*** ลาซาด้า ประเทศไทย ชี้ ไวรัสโควิด-19 ดันยอดคนใช้แพลตฟอร์มขึ้น 30% พลิกโฉม LazMall ใช้งานง่ายกว่าเดิมพร้อมผุด “ร้านป็อปอัพสโตร์” ชูคอนเซ็ปต์ “นิวรีเทล” เชื่อมโลกออฟไลน์-ออนไลน์ ***
นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาจำนวนคำสั่งซื้อบนลาซาด้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตกว่า 100% ผู้ใช้งานโตมากกว่า 100% รวมมีลูกค้ากว่า 70 ล้านคน จำนวนร้านค้าเติบโตกว่า 2 เท่า รวมมีจำนวนสินค้าวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มกว่า 240 ล้านรายการ และจากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่ระบาดหนักในช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ในตอนนั้นมีผู้เข้าใช้แพลตฟอร์มบนลาซาด้ามากขึ้น 30% และพบว่า ยอดขายในสินค้าบางกลุ่มเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น อาหารกระป๋องเพิ่มขึ้น 3 เท่า สินค้าเกี่ยวกับการทำความสะอาดเพิ่มขึ้น 7 เท่า สินค้าเครื่องครัว เช่น ทอดไร้น้ำมันขึ้นและสินค้าใช้ในบ้านเพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็นต้น
อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีออเดอร์หรือการสั่งซื้อสินค้าจากผู้บริโภคเพิ่มมากกว่า 100% โดยแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าอายุ 18-35 ปี เป็นฐานที่ใหญ่ที่สุดมากกว่า 50% รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 36-45 ปี และมีสินค้าใหม่ๆ ที่เข้าสู่แพลตฟอร์มลาซมอลล์มากถึง 600 กว่าแบรนด์ หรือมากกว่าช่วงปกติถึง 3 เท่า และแม้ว่าขณะนี้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นแล้วแต่ยังพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปก็ยังคงนิยมจับจ่ายสินค้าผ่านออนไลน์อยู่ส่งผลให้ขณะนี้หลายแบรนด์สินค้าก็ยังต้องการเข้ามาอยู่บนออนไลน์มากขึ้นเช่นเดิม
ทั้งนี้ปัจจุบันมีแบรนด์และผู้ค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเราจึงได้ทำการปรับโฉมแพลตฟอร์ม LazMall “ลาซมอลล์ ครั้งใหญ่ ทั้งหน้าอินเทอร์เฟซที่ทำให้การใช้งานง่ายและสะดวกขึ้นไปอีก รวมถึงการมีสินค้าพรีเมียมแบรนด์เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นมากขึ้นโดยการเปิดตัวลาซมอลล์เราได้เปิดตัวไปตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2561 ในการเป็นแพลตฟอร์มมอีคอมเมิร์ซที่นำเสนอสินค้าแบรนด์ชั้นนำของแท้ สำหรับผู้บริโภคทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั้งยอดขายเติบโตแบบเก้ากระโดดถึง 160%จำนวนคำสั่งซื้อโต 130% ยอดผู้ซื้อโต 110% และจำนวนแบรนด์สินค้า เติบโตถึง 600% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังพบว่าลูกค้ากลุ่มพรีเมียมเป็นเซ็กเมนท์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงมากเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายบน “พรีเมียม บิวตี้ มอลล์” ซึ่งเติบโตกว่า 540% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้านจำนวนผู้ซื้อโตกว่า 330% ที่ผ่านมาการใช้จ่ายเฉลี่ยบนลาซมอลล์มีมูลค่ามากกว่าร้านค้าทั่วไป 3 เท่า เนื่องจากราคาเฉลี่ยสูงกว่าการซื้อซ้ำมีมากกว่ามีจุดต่างทั้งโปรโมชั่น คุณภาพสินค้า การให้บริการ และการจัดส่ง
ปัจจุบันลาซมอลล์มีสินค้ามากกว่า 6,000 แบรนด์ และกว่า 2,000 ออฟฟิเชียล สโตร์ ซึ่งมีจำนวนผู้ซื้อเพิ่มขึ้นถึง 110% และภายในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าว่าจำนวนของสินค้าที่วางขายบนลาซมอลล์จะเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่า
อีกทั้งลาซาด้ายังเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแห่งแรกที่นำแบรนด์แฟชั่นพรีเมียมจากไทยดีไซน์เนอร์ชั้นนำเข้าสู่แพลตฟอร์มภายใต้ความร่วมมือกับสมาคมแฟชั่นดีไซน์เนอร์กรุงเทพฯ (Bangkok Fashion Society หรือ BFS) ปัจจุบัน มีแบรนด์ดีไซน์เนอร์ไทยชั้นนำกว่า 50 แบรนด์ บนแพลตฟอร์ม Thai Designer Club ของลาซมอลล์และหลายๆแบรนด์ยังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 เท่านับตั้งแต่เริ่มขายสินค้าบนลาซมอลล์
พร้อมเปิดตัวป๊อปอัพสโตร์ “Lazada On Ground” แห่งแรกในประเทศไทยที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงสินค้าของแบรนด์ชั้นนำบนลาซมอลล์มากกว่า 40 แบรนด์ ในคอนเซ็ปต์นิวรีเทลป๊อปอัพสโตร์จะเปิดให้บริการที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์จนถึงเดือน ม.ค. 2564 เน้นนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงผ่านกลยุทธ์ช้อปเปอร์เทนเมนท์พร้อมด้วยไลฟ์สตรีมมิ่งบนฟีเจอร์ลาซไลฟ์ (LazLive) ในแอพลาซาด้า
อีกทั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเตรียมจัด 3 แคมเปญใหญ่ ได้แก่ 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งในช่วงเทศกาล 9.9 จะมีการใช้งบประมาณด้านการตลาดเฉพาะสำหรับการเปิดตัว LazMall โฉมใหม่ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่แยกมางบออกมาเพื่อทำการโปรโมทลาซมอลล์โดยเฉพาะเพื่อต้องการผลักดันการขายให้แบรนด์สินค้าต่างๆในลาซมอลล์อย่างเต็มกำลัง