นางสาวอรธิรา ภาคสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ กล่าวว่า หลังคลายล็อกดาวน์และห้างสรรพสินค้าสามารถกลับเปิดให้บริการตามปกติได้แล้วจนขณะนี้ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในย่านสุขุมวิทมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ขึ้นเพราะผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในการกลับมาเดินห้างและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นสังเกตุได้จากศูนย์การค้าของเรามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นต่อเนื่องแล้วแต่ยังไม่ถึงปริมาณเท่าเดิมซึ่งปริมาณทราฟฟิกเดิมทั้ง 2 ศูนย์การค้ารวมกันอยู่ที่มากกว่า 1 แสนคนในวันธรรมดาและประมาณ 120,000–200,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์
โดยลูกค้าของห้างเราขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยที่มีกำลังซื้อและคนต่างชาติที่ทำงานในไทยซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้กับศูนย์เราทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศเราได้ในขณะนี้ส่งผลให้ร้านค้าลักซ์ชัวรี่บางแบรนด์มียอดขายที่ดีกว่าในช่วงก่อนโควิด-19 เนื่องจากลูกค้าคนไทยระดับบนที่ปกติไปช้อปปิ้งต่างประเทศแต่ขณะนี้ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้จึงหันมาช้อปปิ้งแบรนด์เนมในไทยแทน
“ทางเรามั่นใจว่าหากไม่มีปัจจัยลบอะไรเกิดขึ้นอย่างเช่นการระบาดรอบ 2 เชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะกลับสู่ภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาส 4 อย่างแน่นอนแต่อาจจะยกเว้นกลุ่มร้านอาหารที่ต้องดูแลให้ความช่วยเหลือเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำอาหารเองหรือใช้บริการดีลิเวอรี่มากขึ้นทำให้รายที่ไม่เป็นเชนขนาดใหญ่เริ่มขาดสภาพคล่องดังนั้นเราก็อยากให้รัฐบาลออกมาตราการอะไรก็ได้ในการช่วยกระตุ้นให้เกินการบริโภคอย่างโครงการช้อปช่วยชาติเราก็อยากให้มีกลับมาในไตรมาสสุดท้ายช่วงปลายปีนี้เพื่อจะได้ช่วยเหลือเหล่าร้านค้าที่ยังได้รับผลกระทบอยู่”
นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท เตรียมทำการรีโนเวทครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี สำหรับศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียมโดยจะแบ่งออกเป็น 4 เฟสและน่าจะเริ่มดำเนินงานกลางปี 2564 แล้วเสร็จในปี 2565 ภายใต้รูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาให้กลมกลืนกันระหว่างศูนย์การค้ากับห้างสรรพสินค้าเพื่อให้สอดรับกับยุคนิวนอร์มัลให้เป็นการช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อที่ไม่ใช่เพียงช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์แบบเดิมอีกต่อไปแต่ยังคงโพซิชั่นแหล่งช็อปปิ้งระดับลักเซอรี่เช่นเดิมรวมถึงปรับไลน์อัพผู้เช่าและตกแต่งภายในใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น
ด้าน นางสุธาวดี ศิริธนชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่เข้าใช้บริการศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยมและ ดิ เอ็มควอเทียร์แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มคนทำงาน 50% กลุ่มครอบครัว 30% และต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยประมาณ 20%โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีกำลังซื้อค่อนจข้างสูงโดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวที่มียอดการใช้จ่าย 1.6 หมื่นบาทต่อครอบครัวบริษัทจึงอยากพัฒนาพื้นที่เพื่อทำให้ผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้มีการจับจ่ายและใช้เวลาอยู่ในศูนย์การค้ามากขึ้น
ล่าสุดจึงได้ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาทเพื่อปรับพื้นที่ใหม่เปิดเป็น EMJOY ตามแนวคิดของศูนย์การค้าในการที่จะจัดทำพื้นที่ในส่วนของ Edutainment Mixed Use ในรูปแบบใหม่โดยเอ็มจอยโซนนี้พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ชั้น2 อาคารซี ดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งพื้นที่นี้เดิมทีเป็นโซนไทยดีไซน์เนอร์แต่ย้ายไปที่ ดิ เอ็มโพเรี่ยม โดยโซน EMJOY นี้จะเป็นพื้นที่สร้างการเรียนรู้สำหรับเยาวชนรวบรวมสถาบันการศึกษาเสริมทักษะความรู้นอกตำราโดยแบ่งเป็น Category ต่างๆ ได้แก่ Brain Evolution, Art & Music, Dance & Sport, Kid Facility และ Café & Dining รวมทั้งหมด 18 แห่ง
ทั้งนี้คาดว่าหลังการเปิดบริการของ EMJOY จะส่งผลให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์เพิ่มกว่า10-15 %รองรับความต้องการของกลุ่มครอบครัวได้อย่างเต็มที่รวมถึงเป็น Magnet สำคัญที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆให้เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้าโดยตั้งเป้าจำนวนลูกค้าหมุนเวียนบนพื้นที่ EMJOY ประมาณ 4.5 ล้านคนต่อปี อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้ได้วางงบตลาดรวมมากกว่า 100 ล้านบาทเพื่อใช้ในการส่งเสริมการขายจัดอีเวนต์รวมทั้ง 2 ศูนย์ฯและประมาณ 30 ล้านบาทจะใช้ในการโปรโมทพื้นที่ใหม่เอ็มจอยโซนโดยเฉพาะ