"นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ" หมอมาดเข้มนักธุรกิจคนนี้ ใครจะรู้บ้างว่าเขาคือ ผู้ก่อตั้งบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ได้สร้างแบรนด์ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายใต้ชื่อ บิวตี้ บุฟเฟต์, บิวตี้ คอทเทจ, เมด อิน เนเจอร์ และบิวตี้ มาร์เก็ต จนประสบความสำเร็จและปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท
ในสมัยวัยละอ่อนคุณหมอสุวินเรียนจบมาจากแพทยศาสตร์บัญฑิตม หาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่มีความสนใจชื่นชอบอยากทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในการเรียนหมอให้สำเร็จเพื่อความภูมิใจของครอบครัว และยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ทำให้ต้องเก็บความฝันอันนี้พับเก็บใส่กระเป๋าไว้ก่อน และด้วยเหตุปัจจัยใดคุณหมอจึงสามารถดึงความฝันนั้นมาปัดฝุ่น และสร้างมันให้เป็นจริงจนประสบความสำเร็จได้จนถึง ทุกวันนี้
"หลังจากผมเรียนจบก็ทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลเอกชนอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็เริ่มลองทำธุรกิจแรกกับภรรยา (ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ) เกี่ยวกับธุรกิจส่งออกและทำเสื้อผ้าของพรีเมี่ยม แต่ขณะนั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 40 จึงทำให้ต้องเลิกกิจการทั้ง 2 ไป จากนั้นจึงมานั่งคิดกับภรรยาว่าจะทำอะไรดีที่น่าจะเติบโตได้ในวิกฤติแบบนี้ จึงคิดได้ว่าน่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงาม จากนั้นก็ไปลองศึกษาช่องว่างตลาดของธุรกิจนี้ดูว่าเป็นอย่างไร จนมั่นใจว่ามีช่องว่างและโอกาสที่ดีในตลาดที่จะเติบโตได้ดีในอนาคต จึงตัดสินใจทำธุรกิจความงาม โดยมองว่าต้องทำอะไรที่แตกต่างไม่เหมือนคนอื่น พร้อมมองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก จากนั้นจึงได้เปิดร้านจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวนำเข้าร้านแรกโดยใช้ชื่อว่า "นีโอ" ที่ศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ โดยมีการแต่งร้านในแบบเทรนดี้ มีสินค้าให้เลือกมากมายหลายแบรนด์ ราคาไม่แพง พร้อมติดป้ายราคา สรรพคุณ และมีตัวเทสเตอร์ให้ทดลองใช้ได้อย่างสบายใจมารวมไว้ในที่เดียวกัน ต่อมาได้รับการตอบรับดีมากจากลูกค้า จึงได้ขยายเปิดอีกหนึ่งสาขาโดยใช้ชื่อว่า "โมนา" ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง"
คุณหมอสุวิน เล่าต่อว่า จากความสำเร็จในขั้นแรกจึงทำให้จากนั้นในปี 2549 ได้ทำการพัฒนาแบรนด์ ใหม่ขึ้นภายใต้ชื่อ "บิวตี้ บุฟเฟต์" โดยการปรับปรุงรูปโฉมของร้านใหม่ ยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่คอนเซปที่ชัดเจนขึ้น ในรูปแบบร้านที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกสรร โดยการสั่งผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและดูแล ผิวเป็นแบรนด์ของตัวเองทั้งหมด เพื่อต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น จนปัจจุบันมีอยู่ 162 สาขาและภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะขยายครบ 180 สาขา จนในปี 2011 ก็ได้เปิดแบรนด์ใหม่ ชื่อ "บิวตี้ คอทเทจ" ภายใต้คอนเซปต์ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติผนวกเข้ากับการตกแต่งร้านและออกแบบบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบวินเทจ จับกลุ่มลูกค้าที่พรีเมี่ยมกว่าแบรนด์บิ้วตี้ บุฟเฟต์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 43 สาขา คาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 50 สาขา และถัดมาคือแบรนด์ "เมดอิน เนเจอร์" ที่เป็นสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์ อาทิ ครีมอาบน้ำ โลชั่น ครีมขัดผิว เป็นต้น จัดจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ต ชั้นนำเท่านั้น และล่าสุดคือ บิ้วตี้ มาร์เก็ต ซึ่งตั้งเป้าจะเปิดให้ได้ 3 สาขาในปีนี้ อีกทั้ง เตรียม จะออกสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ "เกิร์ลลี่ เกิร์ล" เป็นสกินแคร์จับวัยรุ่น ราคาไม่แพง ขายผ่านช่องทาง คอนวีเนี่ยนสโตร์ คาดว่าจะออกมาในใตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านบริษัทนั้นดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้ปรัชญา 3 ข้อ คือ คุณภาพของสินค้าดี, ดีไซน์เยี่ยมสร้างความโดดเด่น, จับกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง ราคาไม่แพงผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ และเป้าหมายต่อจากนี้ก็ยังมุ่งเน้นสร้างการเติบโตภายใต้คอนเซปต์ บิ้วตี้ คอสเมติก ต่อไป ด้วยกลยุทธิ์ มัลติแบรนด์ มัลติโปรดักต์ และมัลติชาแนล เน้นจับกลุ่มผู้บริโภคขนาดกลาง พร้อมขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียนรองรับการเปิด AEC ไปด้วย
คุณหมอมาดเข้ม บอกถึงหลักการทำงานส่วนตัวให้ฟังทิ้งท้ายว่า จากพื้นฐานจากการที่เรียนแพทย์ มาและโดยนิสัยส่วนตัวจะทำอะไรจะต้องรู้จริง ตั้งใจจริง ทำจริง ลงลึกไปถึงรายละเอียดสิ่งที่อยากทำจริงๆ และขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการคิดนอกกรอบ ความคิดสร้างสรรค์และความงามในทางศิลปะ โดยเป็น คนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง มีความคิดที่โลดแล่น เน้นครีเอทีฟ สร้างความแตกต่าง และเลือกทำอะไรตาม เวลาที่เหมาะสมไม่ได้ทำตามใจปรารถนา คือ มุ่งเน้นสิ่งที่เรากำลังทำให้ดีที่สุด แล้วความสำเร็จมันก็จะตามมาเองด้วยความตั้งใจของเรา
"นอกจากนี้ สำหรับเวลาว่างหลังจากการทำงานของผมจะชอบออกกำลังกายหลากหลายประเภท โดยกีฬาที่ชื่นชอบ ได้แก่ การขับรถโกคาร์ท, เล่น เจ็ตสกี เตะฟุตบอล อีกทั้งยังมีงานอดิเรกที่โปรดปราน คือ อ่าหนังสือพวกดีไซน์, การถ่ายภาพ, การสะสมรถโบราณ,ร ถสปอร์ต และกล้องโบราณ"