นายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานอำนวยการ บริษัท บีเอ็นไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ความร่วมมือของภาคธุรกิจในการเชื่อมโยงข้อมูลสู่กัน อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่สำหรับ บีเอ็นไอŽ เป็นองค์กรที่เป็นตัวกลางของกลุ่มคนในภาคธุรกิจที่ก่อตั้งมาเป็นเวลา 28 ปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการถึง 140,000 รายใน 50 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าไว้ที่ 200,000 รายภายในปี 2558
หลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยมาได้กว่า 6 ปี ทำให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในเมืองไทย 400 ราย และคาดว่าสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 900 ราย หลักๆ จะเป็นกรุงเทพฯ 600-700 ราย ที่เหลือจะเป็นต่างจังหวัด และมีสมาชิกทั้งสิ้น 16 กลุ่ม และจะเพิ่มเป็น 20 กลุ่มภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ บีเอ็นไอจะเป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการ โดยแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสาย ธุรกิจที่หลากหลาย แต่จะมีเพียง 1 สมาชิก ต่อ 1 อาชีพ หรือธุรกิจต่อ 1 กลุ่มเท่านั้น เพื่อป้องกันการแข่งขันภายในกลุ่ม เป็นการมอบโอกาสให้แก่สมาชิกในกลุ่ม ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ จนเกิดความเชื่อถือและไว้วางใจกัน
สมาชิกของบีเอ็นไอ 50-60% จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 20-30% เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลาง 10-15% เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเป็นกลุ่มสมาชิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หากจำแนกตามประเภท เริ่มตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง ออกแบบ ไปจนถึงกลุ่มโรงแรม ขณะที่ต่างประเทศอย่างฮ่องกงจะเป็นกลุ่มบริการด้านการเงิน ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่
ในปีนี้จะมีการจัดงานใหญ่ประจำปีในวันที่ 8-9 สิงหาคมนี้ ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ โดยจะให้บุคคลทั่วไปเข้ามาได้ แต่จะต้องผ่าน การเชิญจากบีเอ็นไอก่อน บัตรราคา 2,500 บาท โดยจะมีผู้นำบีเอ็นไอจากหลายๆ ประเทศ ผู้อำนวยการ และผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดโอกาสในการเชื่อมโยง ผ่านวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม
ส่วนคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมกับบีเอ็นไอ คือ 1.ต้องทำธุรกิจมาอย่างน้อย 5 ปี 2.ชอบช่วยเหลือผู้อื่น 3.ชอบเรียนรู้ 4.มีทัศนคติบวก 5.ต้องการเติบโต หรือขยายธุรกิจ ผ่าน 4 พันธกิจสำคัญ คือ 10 ต้องมาประชุมทุกสัปดาห์ 2.อบรมขั้นพื้นฐานก่อน โดยผ่านการสัมภาษณ์จากบีเอ็นไอ 3.มีกิจกรรมไปเยี่ยมบริษัทในกลุ่ม เพื่อจะได้เข้าใจธุรกิจของกันและกัน และรู้โครงสร้างทางธุรกิจ 4.ต้องมีคอนเน็กชั่นอย่างน้อย 200 รายชื่อ ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้แสดงว่าไม่มีความมุ่งมั่น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสร้าง รายได้ในไทยได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท ในอีก 2 ปีข้างหน้า