ด้วยความที่ใครๆ ก็อยากสวย หล่อ ดูดี ทำให้คลินิกเสริมความงามกลายเป็นอีกทางเลือกไปโดยปริยายของผู้บริโภค นั่นเป็นเพราะ ผู้บริโภคมีการดูแลตัวเองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า และกลุ่มอายุของผู้ที่เข้ารับบริการ เสริมความงามในปัจจุบันก็ไม่ได้จำกัดแต่เพียง กลุ่มคนวัยทำงานเท่านั้น เพราะแม้แต่กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ต่างก็ให้ความสนใจ ใช้บริการเป็นอย่างมาก โดยหลักๆ จะใช้บริการ ดูแลรักษาเกี่ยวกับใบหน้า
น.พ.จักกฤษณ์ อัครเศรณี หรือ "หมอเอ" กรรมการผู้จัดการ เศรณีคลินิก เล่าให้ "สยามธุรกิจ" ฟังว่า เศรณีคลินิก ก่อตั้งขึ้น เมื่อปีพ.ศ. 2552 ภายใต้แนวคิด ต้องการสร้าง คลินิกที่ต่างออกไปจากคลินิกทั่วไปที่มีอยู่ในท้องตลาด เนื่องจากคลินิกแบบนี้มีอยู่เยอะมากและกลยุทธ์ก็คล้ายกันหมด คือ ให้พนักงานพยายามเชียร์ขาย คอร์สทุกอย่างที่มี เพื่อเอาเงินจากผู้ใช้บริการมากที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการจริงๆ
แนวคิดหลักของเรา คือ นึกถึงเศรณีคลินิก นึกถึงแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการดูแล เรื่องความสวยงามที่ไว้ใจได้ ไม่เลี้ยงไข้ ไม่เชียร์คอร์ส รักษาตามความเป็นจริง ดั่งปณิธานในการทำงานและการใช้ชีวิตของตัวเอง นั่นคือ ทุ่มเทกับงานให้มากที่สุด เวลาพักผ่อนก็ให้รางวัลกับชีวิตตนเองให้ดีที่สุด ใช้ ชีวิตทำงานโดยทำและคิดเพื่อคนอื่นให้มากที่สุด แล้วสิ่งที่ดีก็จะกลับคืนมาเป็นรางวัลชีวิตของเราเอง
"ด้วยพื้นฐานของตัวเองที่เป็นคนตรง ไปตรงมา เวลาลูกค้ามาใช้บริการ แก้ได้ก็ บอกได้ ไม่ดีบอกไม่ดี รับผิดชอบและดูแล เอาใจใส่คนไข้ทุกคนเหมือนญาติของตัวเอง"
สิ่งที่เศรณีจะเน้นเป็นพิเศษคือ เรื่องการรักษาสิว ที่มีคอร์ส "แอคเน่ บุฟเฟต์" รับประกันรักษาสิวหายทุกเคส และเทคนิคการย้อนวัย "ดีพ ลิฟต์อัพ" ด้วยการใช้โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ ขั้นสูง สูตรเฉพาะที่เศรณีคลินิก ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือทำให้เศรณีเป็นแบรนด์ อันดับหนึ่งในใจของคนไข้เกี่ยวกับการรักษา สิว หายขาดและการย้อนวัยที่ได้ผลจริง รวมถึงสร้าง ภาพลักษณ์ในใจของคนไข้ เกี่ยวกับการเป็น แบรนด์คลินิกที่คนไข้เชื่อใจ และยิ้มได้เสมอ
ปัจจุบัน เศรณีคลินิก มี 5 สาขา ได้แก่ รามอินทรา, ลาดพร้าว 101, ดิจิตอล เกตเวย์ เอกมัย, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และสยามสแควร์ กลุ่มเป้าหมายจะเป็นคนที่ใส่ใจและคำนึงถึงการ รักษาที่ถูกต้อง ไม่หวังผลการรักษาที่ฉาบฉวย เร็ว แต่คำนึงถึงคุณภาพมาตรฐานการรักษา ความรู้ ความชำนาญของแพทย์มาเป็นอันดับหนึ่ง
จุดแข็งของเรา คือ 1.ไม่เชียร์คอร์ส 2.จริง ใจต่อคนไข้ 3.ปลอดภัย 4.หายขาด 5.ประสิทธิ-ภาพสูง 6.รู้จักปฏิเสธ ถ้าคนไข้ไม่สมควรจะทำสิ่งนั้นๆ แม้จะได้เงินก็ตาม อีกอย่างเป็นเพราะธุรกิจนี้มีการแข่งขันที่สูงมาก จึงต้องให้ความสำคัญกับจุดยืน ภาพลักษณ์ สินค้าการให้บริการ ที่ชัดเจน และมีความเป็นตัวจริง มีความเป็นมืออาชีพที่พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญต้องไม่ทำธุรกิจแบบฉาบฉวย ต้อง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสุขภาพความงามให้ผู้ใช้บริการ สร้างความพึงพอใจ ได้ผลจริง และราคาสมเหตุสมผล เนื่องจาก หลักในการใช้ชีวิตของตัวเองคือ ทำทุกอย่างให้ ดีที่สุด ใช้ชีวิตโดยคิดถึงคนอื่นๆ คนรอบข้าง และ คนที่เราต้องรับผิดชอบดูแลเสมอ แต่สิ่งที่สำคัญ ที่สุด คือ อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ค่า
เนื่องจากผู้ใช้บริการจะหาข้อมูลมากขึ้น และเริ่มแอนตี้แบรนด์ที่ไม่ชัดเจน ไม่จริงใจ หรือ มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสังคม ทำให้จะเหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ ตัวจริงที่มีแบรนด์ อิมเมจ และโพสิ-ชันนิ่งที่ชัดเจน ขณะที่กลุ่มที่เน้นแบบขายเชียร์ ขายของหลอกลวง เอาแต่กำไร จะเริ่มล้มหาย ตายจาก และหายไปจากการที่เริ่มมีโอเวอร์ ซัพพลายในธุรกิจประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าตนจะทำธุรกิจด้านนี้ก็ตาม แต่ก็อยากให้คนหันมายึดถือคุณค่าความงามจากจิตใจกันมากขึ้น ผู้หญิงที่สวยที่สุด คือ ผู้หญิง ที่จิตใจสวย อารมณ์ดี เอื้อเฟื้อ และแบ่งปันสิ่งที่ตนมีให้สังคมเสมอๆ ส่วนการดูแลตนเอง ก็อยากให้เน้นการป้องกันมากกว่าแก้ไข พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้ครีมกันแดดทุกวัน และอย่าหลงเชื่อการเสริมความงามจนเกินพอดี
"เพราะว่าเคสที่มีปัญหาตาย พิการ เน่า ตาบอด มันมีจริงๆ และมีเยอะมากๆ ด้วย เพียงแต่เราไม่ได้ไปรับรู้เท่านั้นเอง อย่าคิดว่าเราคงโชคดี และไม่เกิดกับเราหรอก เพราะของถูกและดีไม่มีในโลกจริงๆ ดังนั้น ทำแต่พอดี ไม่เสี่ยง และเชื่อเมื่อมีคนเตือนเสมอ"
การทำศัลยกรรมถือเป็นเรื่องดี เพราะหลายครั้งถือเป็นการรักษาโรค หรือดูแลสภาพ จิตใจ แต่ต้องทำแต่พอดี ทำโดยยึดเอาความปลอดภัยเป็นหลัก อะไรมาใหม่ๆ ยังไม่ผ่าน อย. ห้ามโดยเด็ดขาด เพราะอย. หรือเอฟดีเอมีเหตุผลที่ห้ามเสมอ
สุดท้าย "หมอเอ" ทิ้งท้ายไว้ว่า เทรนด์ความงามในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จะเป็นไปใน ทางป้องกันมากกว่าแก้ไข คนหันมาใส่ใจหา ความรู้ และดูแลตัวเองกันมากขึ้น แต่จะอยู่ได้แต่ของจริง ของที่ได้ผลปลอดภัย เพราะผู้บริโภคจะฉลาดขึ้น และได้บทเรียนจากข้อผิด พลาดมากขึ้น ของทีเป็นแฟชั่น ทำแล้วไม่ได้ผล หรือเกิดปัญหา จะมาไวไปไว โฆษณาเยอะ บูมเร็ว แต่คนก็จะเบื่อง่าย เราจึงต้องการเป็น สื่อกลางสนับสนุนการดูแลตัวเองที่ปลอดภัย สวยหล่อแบบพอดี