ปัญหาว่างงานจุดเปราะบางเศรษฐกิจโลก

วันพฤหัสบดีที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาว่างงานจุดเปราะบางเศรษฐกิจโลก


ว่างงานยังเป็นปัญหาใหญ่ ของเศรษฐกิจโลก ไอเอ็มเอฟเผย เศรษฐกิจยังไม่มากพอที่จะรองรับ คนว่างงานนับล้านคนในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ผู้นำเยอรมนีประสานเสียง อิตาลี เร่งแก้ปัญหาแรงงานยกเป็น ภารกิจหลัก ขณะที่สโลวีเนียอาจเป็น เหยื่อวิกฤติเศรษฐกิจรายต่อไป

นางแองเกลา แมร์เคิล กล่าวในช่วงแถลงข่าวร่วมกับนายเอนริโก เลตตา นายก รัฐมนตรีคนใหม่ของอิตาลี ที่อยู่ระหว่างการเยือนเยอรมนี โดยย้ำว่าการต่อสู้กับปัญหาว่างงานเป็นเป้าหมายหลักของยุโรป ทั้งยังต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อ นำไปสู่การลงทุนมากขึ้น เนื่องจากการดำเนินนโยบายการคลังเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับทุกเรื่อง

สำหรับถ้อยแถลงของนางแมร์เคิล มีขึ้นในช่วงเวลาที่ ยูโรสแตท ศูนย์ข้อมูลยุโรป เผยตัวเลขว่างงานประจำเดือนมีนาคม ที่พุ่ง ขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ในระดับมากกว่า 19 ล้านคน ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับชั้นนำ ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสโลวีเนีย ลงมาอยู่ในระดับ "ขยะ" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงมากขึ้นว่า ประเทศสโลวีเนียอาจต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินเป็นรายต่อไป

ขณะเดียวกัน นายนาโอยูกิ ชิโน ฮาระ รองกรรมการผู้จัดการ กองทุนการ เงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตประมาณ 3.3% และเพิ่ม ขึ้นเป็น 4% ในปีหน้า ทำให้เกิดโอกาสในระดับที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วโลกมองเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แบ่งออกเป็น 3 ระดับ แต่เป็นการเติบโตที่ยังไม่มากพอ ที่จะสร้างงานสำหรับคนว่างงานนับล้านคน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

โดยถ้อยแถลงของนายชิโนฮารา มีเกิดขึ้นท่ามกลางการประท้วงในวันแรงงาน ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงในกรีซที่มี การประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล และเกิดขึ้นในวันเดียวกับยูโรสแตท แถลง อัตราว่างงานของยุโรป พุ่งทำสถิติใหม่มาก กว่า 19 ล้านคน

ด้านนางมารี ดิรอน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จากเอิร์นส์ แอนด์ ยัง บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระบุว่า ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องแก้ปัญหาแรงงานอย่าง เร่งด่วน โดยอย่างแรกสุดคือ ธนาคารกลาง ยุโรป (อีซีบี) จำเป็นต้องผ่อนคลายนโยบาย การเงิน จากนั้นก็จะต้องดำเนินการทบทวน และปรับปรุงมาตรการด้านการเงิน

ในขณะเดียวกันในฝั่งเอเชียได้ใช้นโยบายประชานิยมในการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ โดยล่าสุด ประธานาธิบดี หม่า อิง จิ่ว ของไต้หวัน ยืนยันในคำมั่นที่จะปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ท่ามกลางการสนับสนุน ของกลุ่มอุตสาหกรรม

นายหม่ากล่าวว่า ทั้งเขาและนายกรัฐมนตรีเจียง อี๋ฮวา เห็นพ้องกันว่า เรื่อง ที่นายเจียงเคยสัญญาไว้ว่า จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็จะต้องดำเนินการให้ได้ตามที่พูด

โดยประธานาธิบดีไต้หวัน กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับขึ้นเป็น 19,047 ดอลลาร์ ไต้หวัน ซึ่งจะมีผลต่อลูกจ้างในไต้หวันถึง 1.7 ล้านคน ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามแล้วที่มีการปรับ ขึ้นค่าแรงในสมัยของเขา โดยครั้งนี้ขึ้นมา 10% จาก 17,280 ดอลลาร์ไต้หวัน เมื่อปี 2551

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม และพาณิชย์ 6 ราย ออกมาสนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรง ดังกล่าวรวมถึงสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติจีน หอการค้าแห่งสาธารณรัฐจีน สมาคม อุตสาหกรรม และพาณิชย์แห่งชาติจีน สมาคมกิจการขนาดกลาง และย่อมแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ และไฟฟ้าไต้หวัน และสมาพันธ์อุตสาหกรรมไต้หวัน


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ