ปฏิกิริยาความเลวร้ายเรื้อรังทางเศรษฐกิจที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งวงจรเศรษฐกิจของยุโรป กำลังสร้างความหวั่นวิตกแก่บรรดาเศรษฐี มหาเศรษฐี ตลอดจนนักลงทุนทั้งหลายที่อพยพเคลื่อนย้ายความมั่งคั่งร่ำรวยไปเก็บรักษาไว้กับธนาคารในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุโรป และมีแนวโน้มสูงมากที่ผู้มีอันจะกิน รวมทั้งผู้เหลือกินเหลือใช้ทั้งหลายเหล่านั้นจะเคลื่อนย้ายความมั่งคั่งหนีออกจากสวิตเซอร์แลนด์ ไปแสวงหาที่เก็บรักษาใหม่ที่ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า

รายงานฉบับล่าสุดของ Wealth Insight ซึ่งเป็นสำนักศึกษาวิจัยพฤติกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ และทำหน้าที่ศึกษาวิจัยพฤติกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของเศรษฐี มหาเศรษฐี และนักลงทุน ระบุว่าเสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเคยได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในหมู่ผู้มีอันจะกินทั้งหลายว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด และเหมาะสมที่สุดในการเก็บรักษาความร่ำรวย มีแนวโน้มที่จะจืดจางเลือนรางลง ด้วยอิทธิพลจากวิกฤตเศรษฐกิจที่แพร่ระบาดไปทั่วระบบเศรษฐกิจยุโรป และกดดันให้มีการเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินกิจการธนาคาร

การปกปิดข้อมูลลูกค้า ที่ถือเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากมายมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลกไหลไปกระจุกตัวอยู่ในระบบธนาคารประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กำลังจะถูกหลอมละลายลง ควบคู่กับกฎระเบียบในระบบธนาคารที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งในสวิตเซอร์แลนด์ และในยุโรป คือเหตุปัจจัยที่ทำให้มนต์เสน่ห์ของระบบธนาคารในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เสื่อมคลายลง

สาระสำคัญในรายงานฉบับเดียวกัน ได้ทำนายล่วงหน้าไว้ด้วยว่าภายในปี 2559 หรือไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้ ยอดเงินฝากในระบบธนาคารประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มาจากผู้ฝากเงินซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่นอกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีส่วนแบ่งสูงสุดในระบบธนาคารทั้งโลกสูงถึงร้อยละ 34 หรือคิดเป็นมูลค่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มสูงมากที่จะลดวูบลงเหลือเพียงแค่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการลดลงโดยเฉลี่ยที่สูงถึงเกือบร้อยละ 10 ต่อปี

ทำนองเดียวกันโครงสร้างการกระจายตัวของการเก็บรักษาเงินฝาก ของผู้เหลือกินเหลือใช้ทั้งหลายในโลกก็จะแปรเปลี่ยนตามไปด้วย

ปัจจุบันสวิตเซอร์แลนด์ คือสวรรค์อันดับ 1 ของนักออมเงินที่ไม่ประสงค์จะปกปิดข้อมูลทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด ด้วยเม็ดเงินที่กระจุกตัวกันอยู่ที่นั่น จากฐานข้อมูลปี 2554 จำนวน2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 2 คือ สหราชอาณาจักร และแชนเนล ไอส์แลนด์ ซึ่งมีเงินฝาก จากผู้ฝากเงินนิรนามกระจุกตัวรวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 3 คือ แคริบเบียน และปานามา ซึ่งมีเงินฝาก จากผู้ฝากเงินนิรนามถูกเก็บรักษาไว้จำนวน 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ ซึ่งมีเงินฝาก จากผู้ฝากเงินนิรนามถูกเก็บรักษาไว้จำนวน 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปริมาณเงินฝากในระบบธนาคารสิงคโปร์ ณ ระดับ 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2554 ดังกล่าว เป็นการขยับตัวเพิ่มขึ้นจากเพียงแค่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2543 หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 10 ต่อปี

เนื้อหาในรายงานของ Wealth Insight ฉบับล่าสุด ยังพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ด้วยว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศสิงคโปร์ จะก้าวขึ้นมาเป็นสวรรค์แห่งใหม่ของการเก็บรักษาเงิน ที่บรรดาเจ้าของเงินทั้งหลายมั่นใจในความปลอดภัย แทนที่สวิตเซอร์แลนด์ และกระแสเงินจำนวนมหาศาลจะหันเหทิศทางจากสวิตเซอร์แลนด์ ไปกระจุกตัวในสิงคโปร์

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นสวรรค์แห่งใหม่ของการเก็บรักษาเงิน แทนที่สวิตเซอร์แลนด์มีอยู่ 5 ประการ

ประการแรก ความเชื่อมั่นของเจ้าของเงินต่อจรรยาบรรณการรักษาความลับลูกค้า ของระบบธนาคารในสิงคโปร์

ประการที่สอง ผลประโยชน์จากการฝากเงิน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในฐานะที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนับวันจะมีอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น

ประการที่สาม รัฐบาลสิงคโปร์ มีเสถียรภาพมั่นคง

ประการที่สี่ ระบบกฎหมายสิงคโปร์ มีความโปร่งใส

ประการที่ห้า สิงคโปร์ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษากลาง ในการติดต่อสื่อสารทางราชการและธุรกิจ

มหาเศรษฐี ตลอดจนนักการเมืองบ้านนี้เมืองนี้ที่แอบนำเงินไปซุกซ่อนไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ คงต้องรีบถอนเงินออกจากสวิตเซอร์แลนด์ มาหาที่ซ่อนใหม่ในสิงคโปร์โดยเร็ว ก่อนที่ความลับจะแตกจนเป็นที่ตกตะลึกพึงเพริดกันไปทั้งบาง