“ไทยซัมซุง” รับนโยบายบริษัทแม่ ลุยกลุ่มสมาร์ทโฮม ดันขึ้นแท่น TOP 2 แบรนด์ผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 3 ปี

วันเสาร์ที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

“ไทยซัมซุง” รับนโยบายบริษัทแม่ ลุยกลุ่มสมาร์ทโฮม ดันขึ้นแท่น TOP 2 แบรนด์ผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน 3 ปี


นายเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ รองประธานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้ในประเทศไทย เราได้รับนโยบายจากทางบริษัทแม่ที่ประเทศเกาหลีหลัก ๆ มาคือในเรื่องของเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเองและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเอง ดังนั้นเราจะทำอย่างไรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคที่โลกก้าวเข้าสู่สังคมคนเมืองมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่ก็มีความตื่นตัวเรื่องสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว และชอบการทำกิจกรรมหลากหลายในบ้านมากกว่าการออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะมียิม หรือ ออฟฟิศ ในบ้าน เป็นต้น

ดังนั้น ปีนี้เองบริษัทจึงมีแผนจะมุ่งเน้นโฟกัสไปยังกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ เนื่องมาจากปัจจัยสภาพแวดล้อม อากาศ มลภาวะ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศร้อน ปัญหา ฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น  ที่ปัจจุบันเป็นปัจจัยหลักส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาสนใจดูแลตรงจุดนี้กันมากขึ้น ร่วมกับการมุ่งในกลุ่มสมาร์ททีวีด้วย เนื่องจากปีนี้จะมีมหกรรมกีฬาระดับโลกทั้งโอลิมปิกและฟุตบอลยูโร ที่จะเป็นตัวกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าดังกล่าวของผู้บริโภคในปีนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้บริษัทเตรียมจะเปิดตัว “สมาร์ทติงส์ ฮับ” (Smarthings Hub) อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและอุปกรณ์สมาร์ทโฮมของซัมซุงเข้ากับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมของแบรนด์อื่น ๆ และรวมถึงชุดเซ็นเซอร์สำหรับทำโฮมออโตเมชั่น เช่นเดียวกับตู้เย็น รุ่นแฟมิลี่ฮับ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ สำหรับในการทำตลาดช่วงแรกจะมุ่งเจาะในกลุ่มลูกค้า B2B ก่อนคือ กลุ่มลูกค้าพาณิชย์ก่อนเนื่องจากมีดีมานด์จากผู้พัฒนาอสังหาฯหลายรายที่ต้องการใช้สมาร์ทโฮมเป็นจุดขายของงานโครงการ  และในส่วน B2C หรือผู้บริโภคทั่วไปนั้นยังต้องอาศัยเวลาสร้างการรับรู้และความเข้าใจก่อน โดยผ่านเชนร้านเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ หรือช่องทางโมเดริ์นเทรดเข้าไปเพิ่มโซนส่วนของสินค้าสมาร์ทโฮมและให้เหล่าบรรดาพนักงานขายอธิบายสร้างการรับรู้ก่อนในเบื่องต้น และจะค่อยๆ  เริ่มวางแผนการทำตลาดในกลุ่มดังกล่าวต่อไปในอนาคต

ผู้บริหารกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยในปีนี้ 2563 คาดว่าน่าจะยังคงเติบโตได้ดีในกลุ่มของตลาดเครื่องปรับอากาศ ด้วยปัจจัยบวกหลายด้าน อาทิ ปัญหาฝุ่น PM 2.5, การแข่งขันของแบรนด์ต่าง ๆ และสภาพอากาศที่น่าจะยังร้อนต่อเนื่อง และการแข่งขันที่ยังน่าจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากปีที่แล้วตลาดเติบโตถึง 36% สูงเป็นประวัติการณ์ 

โดยปีนี้คาดว่าตลาดรวมจะโตประมาณ 9.5% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 2.7 หมื่นล้านบาท จากมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดเครื่องปรับอากาศทั่วโลกอยู่ที่ 1 แสน 1 หมื่น 3 พันล้าน เครื่องทั่วโลก คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 5.5 % ในปีนี้ คิดเป็นมูลค่าตลาดราว 38.4 ล้านยูเอสดอลล่าสำหรัฐ  อย่างไรก็ตาม พบว่าในส่วนของแอร์อินเวอร์เตอร์ในไทยปีนี้คาดว่าตลาดจะโตเพิ่มขึ้นเป็น 70 % จากปีก่อนอยู่ที่ 65 % ซึ่งถือว่าโตมากสุดถ้าเทียบในตลาดแถบประเทศเซาอีสเอเซียที่โตอยู่ที่เพียง 50 %

ล่าสุด  บริษัทจึงได้ปรับรูปแบบและกลยุทธ์การทำตลาดเครื่องปรับอากาศทุกเซ็กเมนต์ตั้งแต่แมสถึงไฮเอนด์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยปีนี้จะมีรุ่น “วินฟรี พรีเมี่ยม พลัส” เป็นเรือธง นอกจากดีไซน์ใหม่แล้วยังมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภค-ช่าง อาทิ ระบบฟอกอากาศ PM 1.0, ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติด้วยเอไอ, สั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน และย้ำความเชื่อมั่นด้วยการเพิ่มเวลารับประกันคอยล์ร้อนเย็นเป็น 3 ปี การติดตั้งง่าย เพื่อรองรับดีมานด์ช่วงหน้าร้อนที่มักสูงจนช่างขาดแคลน โดยตั้งเป้าเติบโตสูงกว่าตลาดหรือมากกว่า 9.5% และเพิ่มสัดส่วนลูกค้าพรีเมี่ยมในพอร์ตโฟลิโอจาก 20% เป็น 25% พร้อมขยับขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 2 แบรนด์ผู้นำในไทยภายใน 3 ปี จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 3



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ