นาย อาคิฮิสะ โยโกยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ในฐานะผู้นำด้านระบบปรับอากาศเพื่อที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ แบรนด์ ไดกิ้น กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจเครื่องปรับอากาศไดกิ้น มาจนขณะนี้ครบรอบปีที่ 95แล้วและปัจจุบันมีฐานการผลิตมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานกว่า 76,484 คน มีสำนักงานใหญ่และบริษัทในเครือกว่า 292 แห่งทั่วโลก โดยจากปี 2009 ธุรกิจของไดกิ้นเติบโตอย่างรวดเร็วมียอดขาย 1,202,420 ล้านเยน หรือ 335,188 ล้านบาท และในปี 2019 นี้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,209,561 ล้านเยน หรือ 615,941.42 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปในปี 2017 บริษัทสามารถผลิตเครื่องปรับอากาศได้กว่า 6,600,000 เครื่อง และมีความสามารถในการผลิตได้สูงถึง 13 เครื่องภายใน 1 นาที โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณลงทุนด้าน R&D สูงถึง 401 พันล้านเยน หรือประมาณ 115,000 ล้านบาท ทำให้ไดกิ้นมีสิทธิบัตรด้านนวัตกรรมความเย็นกว่า 20,000 รายการและใน 180 รายการเป็นสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R-32 ในขณะเดียวกัน กว่า 83% อาคารของไดกิ้นทั่วโลกยังส่งเสริมให้เป็นอาคารสีเขียวที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 54 ล้านตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 6,100,000,000 ต้น ที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงของรถยนต์ได้ถึง 44 ล้านคัน
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดในประเทศไทยในส่วนบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ในปี 2019 ทั้งปี ที่เราจะปิดในเดือน มีนาคมนี้คาดว่า สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 15 % หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 14,200 ล้านบาท โดยล่าสุดเราได้เปิดตัว Magnetic Bearing Chillersเทคโนโลยีความเย็นในอาคารขนาดใหญ่ ที่มีขนาด 1.2 -14.4 ล้านบีทียู หรือ 1,200 ตันความเย็น ซึ่งถือเป็นขนาดที่ใหญ่มากในตลาดเครื่องปรับอากาศ เจาะกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม 5 ดาว และเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นต้น ด้วยนวัตกรรมเดียวกับรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นมาเปิดตัวครั้งแรกในไทย จะส่งผลทำให้ไดกิ้นสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียล ผนวกกับเทคโนโลยี อินเวอร์เตอร์ ที่ไดกิ้นเป็นผู้นำในตลาดแอร์ที่พักอาศัย จะทำให้ไดกิ้นยังครองความเป็นผู้นำในตลาดแอร์บ้านและพาณิชย์ มูลค่า 60,000 ล้านบาท โดยไดกิ้นจะมีสัดส่วนการตลาดรวมอยู่ที่ราว 28% และหลังจากรุกตลาดแอร์คอมเมอร์เชียลอย่างจริงจังคาดว่าจะแชร์ตลาดดังกล่าว 30% ดันรายได้ทะลุ 16,000 ล้านบาท ได้ในปี 2020 อย่างแน่นอน
“กลุ่มลูกค้าของไดกิ้น ที่ผ่านมามีหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่พักอาศัย และเชิงพาณิชย์ โดยตั้งแต่ปี 2017ที่ผ่านมา กลุ่มเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่มีสัดส่วนรายได้ที่เติบโตขึ้นเป็น 3 เท่าทุกปี มีสัดส่วนรายได้ในปี 2018 สูงถึง 12,000 ล้านบาท ทำให้ไดกิ้นมองเห็นโอกาสที่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการของลูกค้า มีความคุ้มค่าที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนค่าดูแลรักษาลง สามารถคืนทุนให้แก่ผู้ลงทุนได้ภายใน 3-5 ปี ”
สำหรับในปีหน้าเราได้วางกลยุทธ์ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับไดกิ้นด้วยการนำทีมผู้บริหาร ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง เข้ามาพัฒนางานด้านทีมขายและบริการ ซึ่งในปีหน้าเรามุ่งเน้นในกลุ่มเชิงพาณิชย์ โดยมีเครื่องปรับอากาศไดกิ้น VRV-MAX สุดยอดเทคโนโลยีอัจฉริยะ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในด้านนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงาน ประหยัดพื้นที่ คุ้มค่ากับการลงทุน สร้างปรากฏการณ์ความเย็นของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ของไทยรายแรก