ปรากฏการณ์ "ร้างคู่" กำลังกลายเป็นปัญหาคุกคามสถาบันครอบครัวในเมืองจีนอย่างรุนแรง ไม่ต่างอะไรกับปัญหาการว่างงานที่เป็นตัวการสำคัญในการบั่นทอนความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ กระทั่งตี๋-หมวย จำนวนนับล้านๆ คนต้องหันไปพึ่งพาบริการจากธุรกิจหาคู่

เมื่อสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในงานมหกรรมความรักและการสมรสแห่งนคร เซี่ยงไฮ้ ซึ่งถูกจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 บรรดาหนุ่มโสด สาวสวยที่ยังไร้คู่เสน่หาต่างพากันแห่แหนไปร่วมงานอย่างเนืองแน่น เพื่อจะได้มีโอกาสได้ร่วมรายการ "จับคู่ด่วน" ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที

กระบวนการดำเนินรายการที่ว่าทางผู้จัดงานกำหนดให้หนุ่มสาวที่ประสงค์จะร่วมรายการต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ พร้อมกับให้รายละเอียดข้อมูลส่วนตัวซึ่งประกอบไปด้วยอายุ ส่วนสูง การศึกษา รายได้ เพื่อนำไปประกอบการประกบคู่สำหรับการจัดคิวจับคู่สนทนาจู๋จี๋กัน

กติกาการจับคู่จู๋จี๋กันกำหนดให้แต่ละคู่มีเวลาสำหรับการจีบกันภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที เนื่องจาก มีจำนวนผู้ลงทะเบียนขอเข้าร่วมรายการเยอะมากกว่า 18,000 ราย

บรรยากาศความคึกคักของตลาดนัดหาคู่ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความตื่นตัวของหนุ่มสาวในช่วงวัย 22-34 ปี ที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นสมาชิก "คานทองนิเวศน์" เท่านั้น แต่ยังถูกเสริมด้วยพ่อ-แม่ของหนุ่มๆ สาวๆ ที่ตามแห่ไปช่วยลุ้นช่วยเชียร์ เพื่อหวังจะได้มีลูกเขย ลูกสะใภ้มาแต่งแต้มสีสันแก่ครอบครัว

คุณพ่อของสาวๆ บางคนไม่ได้มาช่วยลุ้นลูกเขยอย่างเดียว แต่มาคอยเป็นที่ปรึกษาให้ลูกสาวเลือกคู่ครองที่ใช่อีกด้วย

กระแสความตื่นตัวของการหาคู่ในหมู่หนุ่มสาวและครอบครัวจีนตอนนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการเข้าร่วม ตามงานมหกรรมหาคู่ หรือตลาดนัดหาคู่ที่จัดขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีการใช้บริการผ่านธุรกิจหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตอีกด้วย

เว็บไซต์หาคู่ที่กำลังกลายเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมเวลานี้ มีบางเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงแสดงสถิติการลงทะเบียนใช้บริการหาคู่กว่า 58 ล้านราย และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ลงทะเบียนเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านราย

ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมศาสตร์อ่านปรากฏการณ์ความตื่นตัวของการหาคู่ครองที่กำลังสร้างโอกาสแสนสดใสทางธุรกิจในเมืองจีนตอนนี้ โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นดอกผลของนโยบายคุมกำเนิดของรัฐบาลที่กำหนดให้แต่ละครอบครัวมีทายาทสืบสกุลได้เพียง 1 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นนโยบายที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2522 หรือเมื่อ 34 ปีที่แล้ว

อิทธิพลของนโยบายที่ว่าทำให้หนุ่มสาวที่เกิดขึ้นและเติบโตมาภายใต้นโยบายนี้ขาดทักษะในการเข้าสังคม และทักษะในการคบหาเพื่อนต่างเพศ แต่จะถูกกดดันให้ทุ่มเทเรื่องการศึกษาเล่าเรียนและมุ่งมั่นหางานที่ได้ผลตอบแทนสูง เพื่อสร้างฐานะ

เด็กจีนจะถูกกดดันสูงมากในช่วงมัธยมศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย

โดยเฉลี่ยแต่ละวันเด็กนักเรียนมัธยมในเมืองจีน ต้องใช้เวลาคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนถึง 3 รอบ คือรอบเช้าระหว่าง 08.00-12.00 น. รอบบ่ายระหว่าง 14.00-17.00 น. และรอบค่ำระหว่าง 19.00-22.00 น.

ภายใต้บรรยากาศความคึกคักของธุรกิจหาคู่ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในเมืองจีน แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กลับเห็นต่างออกไป และปรับลดตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) จีนในรอบปีนี้ลงจากที่เคยประเมินไว้เดิมร้อยละ 8 มาเหลือร้อยละ 7.75

เหตุผลสำคัญที่ไอเอ็มเอฟ ปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ

ประการแรก ความไม่มั่นใจในขีดความสามารถชำระคืนหนี้ในระบบการเงิน ที่อาจจะนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียและบั่นทอนเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

ประการที่สอง ความไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพการลงทุน ที่อาจไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ

ประการที่สาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชากรจีนที่มีความน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพแก่ระบบเศรษฐกิจ มากกว่าอัตราการเจริญเติบโต ซึ่งน่าจะช่วยปัดเป่าความเป็นห่วงเป็นกังวลของไอเอ็มเอฟไปได้