นางสาว วิภา อัมพุช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันในยุค Globalization และ Digitalizationที่ได้เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน การจะทำธุรกิจค้าปลีกให้ยืนหนึ่งได้ จะต้องทำให้ชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น มีความสุขที่ได้มาสถานที่นั้นๆ มาเพื่อเห็นนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิต และสำหรับในส่วนของสปอร์ตมอลล์ที่เป็นสปอร์ตรีเทล นับว่าเป็นผู้นำสินค้ากีฬาสปอร์ตแฟชั่นไลฟ์สไตล์และสปอร์ตเพอร์ฟอร์แมนซ์ก็ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาและนำเสนอสิ่งใหม่มอบให้กับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน  โดยปัจจุบันตลาดอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬา ในปีที่ผ่านมาเติบโต 10% จากตลาดรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าตลาดรวมน่าจะโตอยู่ที่ 6% และสปอร์ตมอลล์ตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ราว 7% จากปีที่ผ่านมาทำยอดขายรวมได้กว่า 3,700 ล้านบาท

ล่าสุด เราจึงได้มีการปรับภาพลักษณ์ใหม่ ตั้งแต่โลโก้ดีไซน์ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความเป็นไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการปรับพื้นที่เพื่อรองรับความต้องการและตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าไว้อย่างครบครัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “เดอะฮาร์ท ออฟ โกลเบิล แฟลกชิบสโตร์ ฟอร์ สปอร์ตไลฟ์สไตล์ “THE HEART OF GLOBAL FLAGSHIP STORES FOR SPORT LIFESTYLE”ประเดิมปรับสาขาแรกที่พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์  โดยได้รับความร่วมมือจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก มาร่วมผนึกกำลังเปิด Flagship storeรูปแบบใหม่ล่าสุด ครั้งแรกของประเทศไทย บนพื้นที่ใหญ่กว่า 5,000ตร.ม. ที่รวบรวมสินค้าใหม่ ครอบคลุมสินค้าครบทุกเซ็กเมนต์ ทุกประเภทสินค้ากีฬา โดยได้คัดสรรแบรนด์สินค้ากีฬาทั้งจากไทยและทั่วโลกกว่า200 แบรนด์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ให้สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้า รองเท้า และแอคเซสเซอรี่แนวสปอร์ตไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน

“สปอร์ตมอลล์เราได้วางกลยุทธ์ไว้ในปี 2562-2563 ภายใต้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ในการปรับภาพลักษณ์ใหม่ แบ่งเป็น สาขา พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ และอีก 5 สาขา ได้แก่ งามวงศ์วาน, เอ็มโพเรียม, บางกะปิ, บางแค,โคราช และรวมไปถึงสาขาท่าพระในปี 2564 ทั้งนี้คาดว่าหลังจากพลิกโฉมสปอร์ตมอลล์ ที่ พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความสนใจให้กับสปอร์ตเลิฟเวอร์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี โดยตั้งเป้ายอดขายปี 2563 ที่ เติบโตกว่า 50%”