การค้าอาวุธยังเฟื่อง "จีน-อินเดีย-ปากีฯ"สะสม"นุก"

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การค้าอาวุธยังเฟื่อง


มหาอำนาจนิวเคลียร์โลก ยังแข่ง สะสมอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ จีน อินเดีย ปากีสถาน มีเพิ่มขึ้นประเทศละ 10 ลูก เกาหลีเหนือยังไม่ชัด ขณะที่ความพยายามควบคุมอาวุธโลก คืบหน้าน้อยมาก แม้ 63 ชาติร่วมลงนามในสัญญาควบคุม การผลิตอาวุธที่มีมูลค่าตลาดรวมปีละ 2.5 ล้านล้านบาท เหตุสหรัฐฯ ยังไม่ยอม ลงนาม

สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศ ในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน หรือเอสไอพีอาร์ไอ ระบุในรายงาน ประจำปีว่า รัสเซียและสหรัฐอเมริกา เดินหน้าลดหัวรบนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญาลดอาวุธ "สตาร์ท" ที่ลงนามเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยสหรัฐฯ ลดจาก 8,800 ลูกเหลือ 7,700 ลูก รัสเซียลดจาก 1 หมื่นลูกเหลือ 8,500 ลูก แต่ในขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ รัสเซีย ฝรั่งเศส จีน และอังกฤษ ยังคงประจำการระบบปล่อยอาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่หรือประกาศโครงการระยะยาวว่าจะทำเช่นนั้น ซึ่งบ่งบอกว่าอาวุธนิวเคลียร์จะยังเป็นเครื่องหมายสถานะและอำนาจระหว่างประเทศต่อไป และมีความหวังน้อยมากที่ประเทศเหล่านี้จะยอมวางมือลงจากคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์

ขณะเดียวกัน รายงานระบุว่า 3 ประเทศในเอเชียยังแข่งขันกันสะสมอาวุธเคลียร์ ประกอบด้วย จีนเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์จาก 240 ลูก เป็น 250 ลูก เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแผนยกระดับความทันสมัยของระบบป้องกันประเทศ ส่วนคู่แข่งในเอเชียอย่างอินเดียและปากีสถาน มีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นประเทศละ 10 ลูก เช่นกัน ประเมินว่า อินเดียครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ 90-110 ลูก ปากีสถานมีประมาณ 100-120 ลูก อิสราเอล มีราวๆ 80 ลูก ส่วนเกาหลีเหนือยังไม่มีข้อมูลพิสูจน์ว่ามาอาวุธนิวเคลียร์สำหรับปฏิบัติการรายงานยังระบุว่า แนวโน้มความพยายามที่จะดึงผู้ผลิตระเบิดพวง หรือคลัสเตอร์ บอมบ์ รายใหญ่มาลงนามอนุสัญญาต่อด้านอาวุธอันตรายต่อพลเรือนชนิดนี้ มีความคืบหน้าน้อยมาก โดยเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่ รวมถึงบราซิล จีน อียิปต์ อินเดีย อิสราเอล รัสเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์พบความก้าวหน้าครั้งสำคัญจากหลักฐานภาพถ่าย ที่อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า เกาหลี เหนือพร้อมเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า

ส่วน 63 ชาติลงนามในสนธิสัญญาค้าอาวุธฉบับประวัติศาสตร์ของโลก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ควบคุมอาวุธทุกชนิดตั้งแต่รถถัง รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ เครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์โจมตี เรือรบ ขีปนาวุธ และฐานยิง รวมทั้งการค้าอาวุธขนาดเล็ก มีเป้าหมายเพื่อสร้างความโปร่งใส และปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการค้าอาวุธโลกที่คาดว่ามีมูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท ต่อปี

นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า สนธิสัญญาฉบับนี้จะยุติการถกเถียงกันในข้อตกลงด้านอาวุธ และจะทำให้บรรดานักรบ โจรสลัด และผู้ก่อการร้ายครอบครองอาวุธได้ยากขึ้น

อาร์เจนตินาเป็นชาติแรกใน 63 ชาติที่ลงนามสนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธในการเปิดลงนามวันแรก เช่นเดียวกับประเทศผู้ส่งออกอาวุธอย่างสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี

ในขณะที่สหรัฐฯ ผู้ส่งออกอาวุธและยุทธภัณฑ์รายใหญ่สุดของโลก และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันสนธิสัญญา กลับยังไม่ได้ลงนาม

นายไบรอัน วูด ผู้เชี่ยวชาญด้านควบคุมอาวุธองค์กรนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า สหรัฐฯ จะลงนามในไม่ช้า แต่อุปสรรคที่ใหญ่กว่าคือการให้สัตยาบันซึ่งต้องทำในสภา ส่วนจีนยังคงต้องได้รับการโน้มน้าวจูงใจให้ลงนาม แต่รัสเซียและอินเดียนั้นไม่น่าจะลงนาม


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ