นายชูเกียรติ โตกมลธรรม ผู้จัดการทัวไป หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ได้รับสิทธิจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์เลโก้ ในประเทศไทย กล่าวว่า ถ้าให้พูดถึงว่าจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยที่ยังอยู่ในสภาวะทรงตัว ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่นัก จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของเล่นอย่างเลโก้หรือไม่นั้น เราบอกได้เลยว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากเลโก้ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่เป็นแฟนเลโก้ พร้อมกันนี้เรายังได้วางกลยุทธ์ในด้านราคาของสินค้าด้วยการปรับลดราคาและเวลาในการวางจำหน่ายไม่ต่างจากต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและยุโรป เพือให้ราคาใกล้เคียงกับต่างประเทศและใกล้เคียงกับราคาสินค้าที่คนนำหิวหนีภาษีมาจากต่างประเทศนำมาขายในไทย เพื่อให้สาวกเลโก้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปหิ้วสินค้าเข้าประเทศหรือพึ่งพาผู้ขายแบบเกรย์มาร์เก็ต 

รวมถึงการขยายช่อง ทางจําหน่ายสินค้าใหม่ๆ ทังร้านในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า รูปแบบช็อป อิน ช็อป และขายผ่านช่องทาง อีคอมเมิร์ซบนลาซาด้า เป็นต้น อีกทั้งยังได้ทำการเปิดเลโก้ ช็อปแห่งแรกในประเทศไทยที่สยามพารากอนในปีที่ผ่านมา โดยพบว่าใน 1 ปีทีผ่านมามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการถึง 5 แสนคน  แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยสัดส่วนกว่า 70% และ ลูกค้าต่างชาติ ราว 30% ซึ่งส่งผลให้ที่ผ่านมาเลโก้ยังสามารถเติบโตในอัตราตัวเลข 2 หลักได้ อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด เราจึงได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน เปิดร้านแห่งที่ 2 ที่เมกาบางนา ขนาดพืนที 200 ตารางเมตร เจาะกลุ่มครอบครัว นักเรียนนักศึกษา ไปจนถึงนักสะสมตัวจริง โดยคาดหวังว่าจะมีลูกค้ากว่า 3 แสนรายที่จะเข้ามาเยี่ยมชมร้านสาขานี้ในช่วงปีแรก  ปัจจุบัน เลโก้ มีรายได้จาก 4 ช่องทางจําหน่ายได้แก่ ช็อป อิน ช็อป ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สัดส่วนรายได้ 65% ทีเหลือเป็นรายได้จาก เลโก้ ช็อป, การขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ และ การจัดอีเวนต์

“การเปิดช็อปสาขาที่ 2 ดังกล่าวถือเป็นการสานต่อกลยุทธ์การตลาดที่เราวางเอาไว้ก่อนว่าจะต้องขยายเลโก้ ช็อปเพิ่มขึ้น ซึ่งเรามองว่าโลเคชั่นนี้เป็นย่านที่มีการเติบโตสูงและเรามั่นใจว่า หลังการเปิดเลโก้ ช็อปแห่งที่ 2 เราจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ทั้งในเรื่องยอดขายและการขยายฐานลูกค้าผ่านการสร้าง Brand Experience ให้กับกลุ่มเป้าหมายอย่างแน่นอน”