พาณิชย์คุยเอกชนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ...หนุนเอฟทีเอดันลงทุนต่างประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พาณิชย์คุยเอกชนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ...หนุนเอฟทีเอดันลงทุนต่างประเทศ


นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมหารือคณะทำงานวอร์รูม โดยได้หารือในประเด็นสำคัญคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนและเบร็กซิท ที่ใกล้ถึงกำหนดวันที่สหราชอาณาจักร (UK) ต้องออกจากสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าโลกที่อ่อนแอและชะลอตัว เพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมหาแนวทางรองรับปรับตัวของไทย

ที่ประชุมมีความเห็นว่า ปัจจุบันมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนรอบด้าน ทำให้นอกจากต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ารองรับโดยเน้นเรื่องการส่งออกแล้ว ยังต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่จะมีขึ้นจากความขัดแย้งของสองประเทศใหญ่อีกด้วย โดยปัจจุบันการส่งออกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของ GDP ประเทศไทยพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศสูง เมื่อมีความเสี่ยงจากภายนอกจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ จึงควรให้ความสาคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศด้วย 4 เรื่องหลัก คือ

1) การเตรียมรับมือการเบี่ยงเบนการค้า ป้องกันสินค้าที่ไหลเข้ามาที่มีความเสี่ยงในการสวมสิทธิ โดยกระทรวงพาณิชย์มีมาตรการและติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว 2) การส่งออก เน้นการขยายสินค้าไปเพิ่มในประเทศต่าง ๆ และหาแนวทางบรรเทาผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่าที่มีผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังดูแลเรื่องนี้ แต่การที่เงินบาทแข็ง ก็เป็นโอกาสที่จะไทยจะใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเพื่อปรับพอร์ตประเทศใหม่

3) การเจรจา มีแผนการเจรจาไทย-อียู ไทย-อังกฤษ และยังเน้นเร่งการเจรจาอาร์เซ็ปให้เสร็จภายในปีนี้ และ 4) การลงทุน นอกจากการส่งเสริมการลงทุนในประเทศแล้ว ยังควรส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ต้องเร่งการดึงดูดการลงทุนโดยตรงให้เพิ่มมากขึ้น เพราะผลจากสงครามการค้าทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นหลายประเทศ ซึ่งไทยจะต้องมีนโยบายและมาตรการดึงดูดการลงทุนที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็ดำเนินการอยู่

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงพาณิชย์เห็นว่า ในระยะสั้น ไทยอาจจะเน้นกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยอาจเพิ่มมาตรการส่งเสริมการใช้สินค้าไทย การลงทุนในสาขาที่คนไทยเป็นผู้ประกอบการมากและมีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้สินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาวด้วย

ในส่วนข้อเสนอของภาคเอกชน เช่น ด้านการส่งเสริมการลงทุน นอกจากจะเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve แล้ว ขอให้รัฐบาลทบทวนการสนับสนุนการลงทุนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เป็นของคนไทยด้วย โดยอาจจะไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงมากนัก แต่ไทยมีศักยภาพ เช่น อาหาร ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนไทยออกไปต่างประเทศ (Outward Investment) โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมถึงการส่งออกธุรกิจแฟรนไชส์



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ