พลิกวิกฤติ! ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์..ไปทางไหน?

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พลิกวิกฤติ!  ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์..ไปทางไหน?


ไทยนับเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยการส่งออกส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 จะกระจุกตัวอยู่ที่สินค้าขั้นกลาง เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) และวงจรรวม (IC) เป็นต้น

เพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบในสินค้าขั้นปลาย อาทิ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ แสดงให้เห็นว่าการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานกับต่างประเทศมีความสำคัญต่อทิศทางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลายในตลาดโลกย่อมส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยให้ต้องมีการปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีลักษณะอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลงทุนส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่แต่สินค้าที่ตลาดอยู่ในช่วงอิ่มตัว เช่น HDD และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งครองสัดส่วนสูงถึงราวร้อยละ 52 ของมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ทำให้พัฒนาการของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการในตลาดโลกเท่าที่ควร

ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกดดันต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยโดยรวมในระยะข้างหน้าให้หดตัวต่อเนื่อง นอกเหนือจากปัจจัยกดดันด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2562 น่าจะอยู่ที่ราว 36,396 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 5.1 และยังคงหดตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 ที่ร้อยละ 1.0 2.5 และ 3.5 ตามลำดับ ตามแรงฉุดของแนวโน้มความต้องการที่ถดถอยของ HDD และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในตลาดโลก

ดังนั้น การเร่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในตลาดโลกเป็นโจทย์ที่สำคัญ ไทยควรพัฒนาตนเองไปสู่การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยอาจอาศัยจุดแข็งของไทยที่เป็นฐานการผลิตหลักของผลิตภัณฑ์ขั้นปลายอย่างรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่รถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ที่ต้องใช้ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดโลก

*** ชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามาแรง

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ไทยนับได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความเข้มแข็ง และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างชาติโดยเฉพาะสัญชาติญี่ปุ่นได้ทยอยเข้ามาผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ในไทยมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นตามการปรับเปลี่ยนเชิงเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ยุคยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

จากเดิมในปี 2546 ต้นทุนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ประเภทสันดาปภายใน (ICE) ของไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่เพียงร้อยละ 22.7 ของต้นทุนชิ้นส่วนทั้งหมดในรถยนต์หนึ่งคัน เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ราวร้อยละ 33.4 ในปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้าโดยเฉพาะในยุคที่ไทยกำลังก้าวย่างเข้าสู่การผลิตรถยนต์ใช้พลังงาน

ไฟฟ้า ซึ่งมีต้นทุนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นกว่ารถยนต์ ICE โดยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะมีสัดส่วนต้นทุนดังกล่าวอยู่ที่ราวร้อยละ 50 ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะมีสัดส่วนอยู่ที่ราวร้อยละ 70 ทั้งนี้ ปัจจุบันค่ายรถยนต์ที่มีฐานการผลิตในไทยหลายค่ายได้เร่งลงทุน และเริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ HEV และ PHEV ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในภาคการผลิตรถยนต์กำลังเริ่มเปลี่ยนทิศทางสู่อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในช่วงปี 2562 – 2565 มูลค่าความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในการผลิตรถยนต์ของไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยราวร้อยละ 4.8 ต่อปี (CAGR) โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยถึงราวร้อยละ 72.5 ต่อปี (CAGR) ตามปริมาณการผลิตรถยนต์ HEV/PHEV ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศและการส่งออกในช่วงดังกล่าว ในขณะที่ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ ICE จะเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 1.2 ต่อปี (CAGR) ตามปริมาณการผลิตและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น

*** ตอบโจทย์เครื่องใช้ไฟฟ้า IoT

อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้านับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมของไทยที่เข้มแข็งและเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ซึ่งไทยมีห่วงโซ่อุปทานครบวงจร โดยรวมไปถึงการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์

ทั้งนี้ ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามการปรับเปลี่ยนเชิงเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ยุคเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความชาญฉลาดและประหยัดพลังงาน จากเดิมในปี 2557 ต้นทุนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวร้อยละ 30.7 ของต้นทุนชิ้นส่วนทั้งหมด เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ราวร้อยละ 35.3 ในปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้าโดยเฉพาะช่วงที่กำลังก้าวย่างเข้าสู่ยุคเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ (IoT) ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า IoT จะมีต้นทุนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ยที่ร้อยละ 45.0 ของต้นทุนชิ้นส่วนทั้งหมด

เมื่อพิจารณาห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยในปัจจุบัน พบว่ายังคงมุ่งเน้นอยู่ที่การรองรับการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังไม่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ แม้ว่าไทยจะมีศักยภาพที่จะยกระดับห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวสู่การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT แต่การที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ของไทยยกเว้นสมาร์ททีวียังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปัจจุบันต่ำกว่าร้อยละ 3 ของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทย ทำให้ยังไม่เกิดกระแสการลงทุนผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT เข้ามาในไทยเท่าที่ควร และยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเป็นหลัก

อย่างไรก็ดี ช่วงกลางปี 2562 ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าบางรายได้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ IoT จากเดิมที่วางตำแหน่งทางการตลาดเพียงแค่ระดับบนและมีระดับราคาที่สูง มาเป็นระดับปานกลางซึ่งยังมีฟังก์ชั่นการทำงานครบครัน และมีการตั้งราคาที่ผู้บริโภคตอบรับได้ง่ายขึ้น ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ของไทย โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า มีโอกาสที่จะเติบโตได้ค่อนข้างดีในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT น่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวมสูงขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยได้

ประกอบกับผู้บริโภคไทยมีกำลังซื้อและมีความพร้อมที่จะเลือกใช้สินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ ดังนั้น โจทย์สำคัญของผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT คือ การนำเสนอเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT พร้อมทั้งระบบนิเวศของบริการด้านดิจิทัลที่โดนใจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้หันมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ได้

กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยโดยรวมกำลังอยู่ในช่วงอิ่มตัว และมีบทบาทลดลงเรื่อยๆในห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในตลาดโลก แทนที่จะพยายามกลับไปแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านค่าแรงและผลิตภัณฑ์เดิมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มเท่าที่ควร โดยอาจต่อยอดจากจุดแข็งและความพร้อมของไทยที่ยังคงเป็นฐานผลิตหลักของผลิตภัณฑ์ที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในตลาดโลกอย่างรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่รถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT

ทั้งนี้ การยกระดับห่วงโซ่อุปทานสู่เทคโนโลยีใหม่ดังกล่าว จะส่งผลให้การขยายตัวของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ร้อยละ 0.2 ในปี 2565 คิดเป็นมูลค่าส่งออกส่วนเพิ่มราว 1,298 ล้านดอลลาร์ฯ จากที่คาดว่าจะติดลบต่อเนื่องในช่วงดังกล่าว



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ