นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ ซีพีเอ็น กล่าวว่า ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ตลอด 39 ปีที่ผ่านมาซีพีเอ็นไม่เคยหยุดนิ่งในการลงทุนพัฒนาและยังคงเดินหน้าอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ ดำเนินตามแผนงานและบรรลุเป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จต่อเนื่องในทุกโครงการ ล่าสุด บริษัทฯ ประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการ ศูนย์การค้า และ Mixed-use development ครั้งสำคัญ ที่จะเป็นแผนเพื่อส่งเสริมการ ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’ ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่พัฒนาไปและลงลึกกับความต้องการของคนและชุมชนในแต่ละโลเคชั่นแบบ Area-Based Creation พร้อมทั้ง ‘Magnify Local Essence’ ดึงจุดเด่นของพื้นที่มาสร้างเป็น ‘Magnet’ ช่วยยกระดับบทบาทของพื้นที่นั้นๆ ในระดับประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ทาง ซีพีเอ็นได้นำเอา 3 หัวใจหลักที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจ และกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ คือ การท่องเที่ยว การพัฒนาตามโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการเทรดดิ้งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศมาเป็นตัวแปรในการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัท ซึ่งโครงการใหม่ที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเป็นโมเดลที่จะนำพาเอา net positive impact ไปสู่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
โดยซีพีเอ็นวางแผนการลงทุนภายในปี พ.ศ. 2565 ซีพีเอ็นจะพัฒนา 17 โครงการ ได้แก่ 5 ไฮไลท์โปรเจคสำคัญ และปรับโฉม 12 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 22,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ประกอบด้วย ยึดหัวหาด 3 เมืองเศรษฐกิจใหม่ด้วยมิกซ์ยูสรูปแบบใหม่กลางใจเมือง ได้แก่ “เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, ศรีราชา, จันทบุรี”ปลุกปั้นย่าน New Urbanised District กับ 2 ศูนย์การค้าในทำเลทองของกรุงเทพฯ ได้แก่ “เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และ รามอินทรา”พร้อมปรับโฉมศูนย์การค้าอีก 12 สาขาทั่วประเทศ เพื่อจะรองรับการเติบโตของเมืองต่างๆ กระจายไปหลายภูมิภาคของประเทศ
อีกทั้ง ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง 2 Big Impact Projects ได้แก่ โครงการร่วมทุน ‘Dusit Central Park’ โครงการระดับเวิลด์คลาสที่ยิ่งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ มูลค่าอีกกว่า 36,700 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 2567 และยังมีโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการภายใต้บริษัท GLAND โดยเฉพาะโครงการพระราม 9 จากการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งได้จัดสรรผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยโครงการอยู่ในระหว่างการทำแผน และจะประกาศโครงการใหญ่เร็วๆ นี้ คาดว่าจะพลิกย่านพระราม 9 ให้เป็น New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
ด้าน นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ และโครงการของซีพีเอ็น กล่าวว่า สำหรับโครงการใหม่ที่เรากำลังพัฒนาจะตั้งอยู่ใน 3 จังหวัดที่มีศักยภาพสูงของประเทศ ได้แก่เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, ศรีราชา, จันทบุรี เพื่อตอบรับการเติบโตทั้งในด้านการลงทุนใน infrastructure การค้าของประเทศ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมือง ประกอบไปด้วย
1) ‘เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา’ เมืองอยุธยาถือเป็น strategic location เป็น ‘Hub ของภาคกลางตอนบน’ ครอบคลุมจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี ประชากรเกือบ 2,500,000 คน และยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญที่ต่อขยายจากกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวกว่า 8.2 ล้านคนต่อปี โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้จะเป็นลูกค้าคนท้องถิ่น 85 % และนักท่องเที่ยว 15 % อาทิ คนจีน ญี่ปุ่น และคนไทยแถบจังหวัดอื่น เป็นต้น คาดว่าโครงการจะเปิดไตรมาสที่ 2 ปี 2564
2) ‘เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา’ เป็นโครงการที่ซีพีเอ็นลงทุนเสริมแผนภาครัฐในเมืองหลักภาคตะวันออก ผลักดันศรีราชาเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่จะมีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดใน EEC ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่คู่ขนานไปกับภาครัฐ เพื่อเชื่อมโยง กรุงเทพฯ - ชลบุรี – เพิ่มจิ๊กซอว์ ศรีราชา – บรรจบ ระยอง ให้ครบ โดยศรีราชาเป็นเมืองอุตสาหกรรม New S-Curve เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และจะเป็น MICE Hub ของ EEC Center โดยปัจจุบันมี GDP อยู่อันดับที่ 2 รองจาก กทม. และศูนย์กลางการค้าโลจิติกทางน้ำที่สร้างเงินหมุนเวียนการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยต่อปีถึง 5 % โดยคาดว่าจะเปิดในไตรมาสที่ 2 ปี 2564
3) ‘เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี’ สร้าง format ใหม่ ซีพีเอ็นจะปูพรมภาคตะวันออก จะเป็น The Best Modern Living Area ที่แรกที่ดีที่สุดในจันทบุรี บนทำเลศักยภาพที่มีทั้งศูนย์การค้า, Local market, คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย รวมถึง Premium Sport Club & Social Park ริมน้ำตอบรับไลฟ์สไตล์เมืองเติบโตใหม่ ที่นี่เปรียบเหมือน “The Shining Gem of EEC plus 2” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งจันทบุรีและตราด โดยคาดว่าจะเปิดในปี 2565
พร้อมกันนี้ ส่วนเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 จะถูกพลิกโฉมยกเครื่องศูนย์ใหม่ทั้งหมด ทั้งด้านดีไซน์ การเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ ปรับปรุงร้านค้าที่มีอยู่เดิมจะเป็น The Largest Regional mall - Gateway of South Bangkok โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 และ เซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา พลิกโฉมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 26 ปี ภายใต้แนวคิด Living Lab of Ramindra เพื่อรองรับกลุ่มประชากรและ Catchment ที่เติบโตขึ้น จากหมู่บ้านเป็นคอนโด แนวราบเป็นแนวสูง ที่มีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 อีกทั้ง ในปี 2563 บริษัทฯ จะทำการปรับปรุงและขยายพื้นที่ศูนย์การค้าอีก 12 สาขาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ