ธนาคารโลกออกรายงานสะท้อนทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยมีสาระสำคัญหนักไปในทิศทางปรับลดอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี)ในรอบปีนี้

อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่เคยพยากรณ์อัตราการขยายตัวไว้ที่ร้อยละ 2.4 ก็ถูกปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.2

อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเคยมีบทบาทอย่างสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ก็ถูกปรับลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ร้อยละ 5.5 มาเหลือร้อยละ 5.1

กลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ซึ่งมีอิทธิพลต่อชะตากรรมเศรษฐกิจโลก คือ จีน อินเดีย รัสเซีย และบราซิล ก็มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

ยิ่งไปกว่านั้นในรายงานฉบับล่าสุดของธนาคาร โลกยังแสดงความเป็นห่วงเป็นกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา และธนาคารกลาง ญี่ปุ่น รวมทั้งมีความวิตกอย่างสูงต่อวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ยังคงเรื้อรังต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามธนาคารโลกมองว่าหากก้าวข้ามปีนี้ไปแล้ว เศรษฐกิจในปี 2557 และ 2558 น่าจะมีชีวิตชีวาสดชื่นแจ่มใสดีขึ้น โดยคาดหมายว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ในปี 2557 และร้อยละ 3.3 ในปี 2558 ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ในปี 2557 และร้อยละ 5.7 ในปี 2558

ข้อห่วงใยของธนาคารโลกต่อผลกระทบจากการอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ตลาดของธนาคารสหรัฐอเมริกา ดูจะสอดคล้องกับปรากฏการณ์น่าพิศวง ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วในระบบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจริงในระบบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาคือภาวะเงินฝืด ที่ปรากฏขึ้นชัดเจน ทั้งๆที่มีการเติมเม็ดเงินมหาศาลผ่านมาตรการ "คิวอี" ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2552 ควรจะส่งผลกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาบางคน ยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนเมษายนปีนี้ ลดต่ำลงจากร้อยละ 1.9 ในช่วงระยะ 12 เดือนก่อนหน้านั้นมาเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งถือเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดในรอบ 53 ปี

ความทรุดตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ ที่สวนทางกับการอัดฉีดเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งสะท้อนถึงการเกิดขึ้นของภาวะเงินฝืดในระบบเศรษฐกิจ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ และกำลังสร้างความวิตกกังวลแก่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ถึงขั้นจะต้องทบทวนมาตรการคิวอีกันอย่างขนานใหญ่

ทำนองเดียวกันที่บริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นหน่วยย่อย ในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ก็เกิดปรากฏ การณ์ น่าพิศวงขึ้น เมื่อมีคำสั่ง "ลอยแพ" พนักงานระดับอาวุโสขึ้นไปจนถึงผู้บริหาร ตามแผนการปรับโครงสร้างของกิจการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ และเริ่มบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ "มาร์ค ลอจช์ริดจ์" ประธานเจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทบอกว่าแนวโน้มการทำกำไรของบริษัทในรอบปีนี้ส่อเค้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยงวดไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ผลกำไรมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นร้อยละ 8 และในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผลกำไรมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับร้อยละ 10

อาการวิตกต่อชะตากรรมเศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรป ของธนาคารโลก ยังก่อตัวปรากฏเป็น รูปธรรมระลอกใหม่แล้วที่ประเทศกรีซ เมื่อรัฐบาลสั่งตัดงบประมาณอุดหนุนการดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ซึ่งยังผลให้สถานีโทรทัศน์ดังกล่าว "จอมืด" และพนักงานจำนวน 2,700 คนถูกลอยแพ ซ้ำเติมอัตราการว่างงานที่สูงถึงร้อยละ 27 ให้เลวร้ายหนักยิ่งขึ้น

ปรากฏการณ์ความบัดสีของระบบเศรษฐกิจที่แผ่ซ่านไปในหลายพื้นที่ขณะนี้ คือตัวอย่างความบกพร่องที่ประจานการทำหน้าที่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยปราศจากความรับผิดชอบ