นายคริสโตเฟอร์ หวัง ผู้ก่อตั้ง และผู้บริหาร เดอะ โกลด์เด้น ดั๊ก (The Golden Duck) แบรนด์ขนมสัญชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2558 เดอะ โกลด์เด้น ดั๊ก เปิดตัวแบรนด์ที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับเสียงตอบรับที่ดีกับขนมรสชาติแรก มันฝรั่งทอดกรอบรสไข่เค็ม ปัจจุบันได้ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งครองใจผู้บริโภคสิงคโปร์ เช่นเดียวกับเลย์ และพริงเกิ้ล ด้วยยอดขายดีอันดับหนึ่งของขนมขบเคี้ยวใน 7-Eleven ช่วงตรุษจีนในฮ่องกงช่วงปี 2561-62 ฮ่องกง จึงได้ต่อยอดธุรกิจ ขยายสาขาสู่ประเทศฟิลิปปินส์ จีน มาเลเซีย ไต้หวัน และล่าสุด ประเทศไทย
ด้าน นายโจนาธาน เชน ผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศและผู้บริหารผลิตภัณฑ์ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดในประเทศไทย เราเล็งเห็นเม็ดเงินหมุนเวียนในกลุ่มธุรกิจสแน็คฟู้ด ซึ่งมีมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท (137 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยในปี 2562 คาดการว่าตลาดจะเติบโตขึ้นทั้งปีที่ 1.2% (CAGR 2019-2023)1 อีกทั้ง เรามองว่าเห็นว่าตลาดไทยเป็นตลาดที่ใหญ่โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตอนนี้มีอัตราค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับผู้บริโภคชาวไทยต้องการสัมผัสกับขนมขบเคี้ยวมีความหลากหลายแปลกใหม่ เราจึงเล็งเห็นว่าตลาดในไทยยังมีโอกาสทางตลาดอีกมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงส่งขนมแบรนด์ เดอะ โกลด์เด้น ดั๊ก (The Golden Duck) 4 รสชาติ ได้แก่ ‘หนังปลากรอบคลุกไข่เค็ม มันฝรั่งทอดกรอบคลุกไข่เค็ม สาหร่ายเทมปุระทอดกรอบรสปูไข่เค็ม’ และรสชาติไฮไลท์ ’สาหร่ายเทมปุระทอดกรอบคลุกปูผัดพริก’ เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย
สำหรับประเทศไทย เราเชื่อในการเติบโตในเอเชีย เพราะด้วยขนมที่ค่อนข้างพรีเมี่ยม แต่ถ้าเทียบกับอัตราก้าวหน้าในการขายในไทยกับสิงคโปร์ คิดว่าไทยมีแนวโน้มได้พอๆกับสิงคโปร์ เนื่องจากคนไทยรู้จักแบรนด์ The Golden Duck ก่อนมาเปิดตัวที่ไทย เพราะนักท่องเที่ยวไปสิงคโปร์ก็มาซื้อไป บางคนก็หิ้วมาขาย ถึงขนาดเมื่อปีที่แล้วมีการเปิดเพจโซเชียลเพื่อขายแบรนด์นี้เลย ดังนั้นในตลาดแถบเอเชียประเทศไทยนับเป็นประเทศที่เราอัดเม็ดเงินลงทุนมากที่สุด โดยเราได้เตรียมงบประมาณด้านการตลาดในการขับเคลื่อนการตลาดในไทยค่อนข้างมาก เพราะใช้เงินสำหรับ TV, Traditional media, Social media, Online platform, KOLs เราเชื่อใน Strong social media and digital โดยปกติจะใช้งบราว 9-12% ของเงินที่ลงทุนในการทำการตลาด
“ส่วนแผนการจัดจำหน่ายสินค้าในไทยเราจะจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด อันได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ / ท็อปส์ มาร์เก็ต / กูร์เมต์ มาร์เก็ต และ ริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต (จังหวัดเชียงใหม่) โดยเราให้ความสำคัญกับการลงสินค้าที่สาขาพรีเมี่ยมเป็นหลัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 รสชาติ เราตั้งราคาขายอยู่ที่ห่อละ 195 บาท ซึ่งการเลือกสาขาในการจัดจำหน่าย ทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และ ขณะนี้เราได้กระจายสินค้าได้ครอบคลุมถึง 20 สาขา โดยแบ่งป็น 18 สาขาในกรุงเทพ และ 2 สาขาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยอนาคตตั้งเป้าภายในปี 2563 จะขยายจุดจำหน่ายได้ราว 200 สาขาในไทย”
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาใน 20 สาขาในไทยที่เราได้วางขาย สามารถขายได้ถึง 4,500 ห่อ หลังจากปล่อยการโปรโมทผ่าน YouTube ภายในสัปดาห์แรก โดยคาดการณ์ว่าใน 1 ปี จะสามารถขายได้ 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเทียบเท่า 42 ล้านบาท เช่นเดียวกับการขายในปีแรกของสิงคโปร์ และปัจจุบันขายได้ 300,000 ห่อต่อเดือน แบ่งเป็น 150,000 ห่อขายในสิงคโปร์ และที่เหลือส่งออกต่างประเทศ โดยขณะนี้เรามี1 โรงงานการผลิตใหญ่ในประเทศสิงคโปร์มีกำลังการผลิต1.3 ล้านห่อ ต่อเดือน ซึ่งตอนนี้บริษัทมีรายได้จากทางสิงคโปร์ คือ 50% และอีก 50% จากการส่งออกต่างประเทศ
ทั้งนี้ ด้านการส่งออกตอนนี้ประเทศไต้หวันนับเป็นประเทศที่มาแรงที่สุด เช่นเดียวกับประเทศจีน และประเทศออสเตรเลีย และคาดว่าอนาคตจะคือที่ไทย และถ้านับถึงเดือนธันวาคมปีนี้ มีการส่งออกสินค้าเราอยู่ที่ 8 ประเทศ และช่องทาง E-commerce ในเว็ปไซต์ของเราส่งถึง 70 ประเทศ โดยถ้าเทียบขนาดตลาดของ 2 ช่องทางนี้ ตลาดการส่งออกใหญ่กว่าตลาดออนไลน์อย่าง E-commerce มาก โดยประเทศทาง E-commerce ที่ส่งออกมากที่สุด คือ อเมริกา ออสเตรเลีย แคนนาดา