นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าคดีค่าโง่โฮปเวลล์นั้น คาดว่าจะสรุปแนวทางการชำระค่าเสียหายมูลค่า 12,000 ล้านบาทได้พร้อมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 15 ต.ค. นี้ เบื้องต้นการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินผ่านการกู้เงินซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาแหล่งเงินทุน ส่วนรูปแบบการชำระเงินนั้นจะขอเจรจากับเอกชนเพื่อผ่อนจ่ายเป็นงวด ไม่จ่ายทีเดียวทั้งหมดเพื่อลดภาระทางการเงิน ร.ฟ.ท. ควบคู่ไปกับการขอลดค่าดอกเบี้ยมูลค่า 13,000 ล้านบาท ส่วนด้านการยื่นฟ้องศาลเรื่องผู้เกี่ยวข้องกับค่าโง่โฮปเวลล์นั้นเป็นคนละคดีกับเรื่องชดเชยเอกชน ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องทำคู่กันไป โดยตนมั่นใจว่าจะชนะการฟ้องร้องในครั้งนี้และมีหลักฐานเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรมัดตัวผู้กระทำผิดและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ทว่าการยื่นฟ้องนั้นตนจะส่งมอบให้หน่วยงานอื่นดำเนินการแทนตามเงื่อนไขของกฎหมาย ซึ่งตอนนี้คาดว่าหน่วยงานที่รับดำเนินการจะเป็น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

ส่วนเรื่องของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนั้น ตนมั่นใจว่าทางกลุ่ม CPH จะมาลงนามสัญญาตามที่นัดหมายแน่นอนในวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งถือเป็นเดดไลน์วันสุดท้ายแล้วจะไม่มีการขยายเวลาเพิ่มไปอีก หากยังไม่มาก็ต้องเป็นผู้ทิ้งงานภาครัฐและติดแบล็คลิสต์ ขณะที่เรื่องการชดเชยค่าโง่ทางด่วนนั้นจะมีการเสนอแนวทางดำเนินการและผู้รับผิดชอบเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 15 ต.ค. นี้

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า การยกภาระหนี้ค่าโง่โฮปเวลล์ให้ร.ฟ.ท.รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียวนั้นไม่ยุติธรรมกับการรถไฟฯ เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องด้วยหลายหน่วยงานรวมถึงครม.ในสมัยนั้น อีกทั้งเป็นความย้อนแย้งและวัฒนธรรมการบริหารบ้านเมืองแบบไทยๆ ที่มักจะเปลี่ยนนโยบายเมื่อมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งโครงการโฮปเวลล์ถูกผลักดันในรัฐบาลชุดเก่า แต่พอรัฐบาลใหม่เข้ามากลับสั่งยกเลิกโครงการ ซึ่งผู้ว่าการรถไฟฯและผู้บริหารร.ฟ.ท.ในสมัยนั้น จำใจต้องทำตามผู้นำทั้งสองรัฐบาลเพราะไม่อยากมีปัญหากระทบกับหน้าที่การงานและตำแหน่งตัวบุุคคล อีกทั้งภาระค่าโง่นี้ยังซ้ำเติมหนี้สินของร.ฟ.ท.ที่มีอยู่นับแสนล้านบาท