นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหาร”พอร์โต ชิโน” และ “พอร์โต้ โก” กล่าวว่า จากเมื่อ 7 ปีก่อนได้ปั้น “พอร์โต้ ชิโน่” ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกในจังหวัดสมุทรสาครไป ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงมีเพียงสาขาเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบที่รองรับชุมชนในพื้นที่ย่านดังกล่าว ต่อมาบริษัทได้ศึกษาข้อมูลพฤติกรรมของนักเดินทางที่ใช้ถนนสายหลัก และพบว่ามีรถยนต์วิ่งเฉลี่ย 14.8 ล้านคันต่อปี หรือ 4 หมื่นคันต่อวัน และเกือบทั้งหมดจอดแวะจุดพักรถ เพื่อเข้าห้องน้ำและทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น แวะพักผ่อน เพื่อ เติมความสดชื่นระหว่างเดินทาง รับประทานอาหาร ซื้อกาแฟ แต่มีเพียง 30% เท่านั้น ที่แวะเติมน้ำมัน
ดังนั้น บริษัทจึงมีไอเดียในการขยาย ธุรกิจรูปแบบใหม่ เป็นจุดแวะ บนเส้นทางหลวงเชื่อมจังหวัด ภายใต้แบรนด์ “พอร์โต้ โก” สาขาแรกที่พอร์โต้ โก บางปะอิน เมื่อปี 2561 เพื่อเน้นเจาะกลุ่มนักเดินทางที่ขับรถลงภาคใต้บนถนนพระราม 2 ซึ่งมีปริมาณการจราจร เฉลี่ยสูงถึงวันละ 1.2 แสนคัน และบริษัทฯ ได้ทุ่มงบประมาณ 400 ล้านบาท เปิดสาขาที่สอง “พอร์โต้ โก ท่าจีน” อยู่บนพื้นที่ขนาด 23 ไร่ จังหวัดสมุทรสาคร คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการได้เต็ม รูปแบบภายในต้นปี 2563 สำหรับแผนการขยายสาขารูปแบบดังกล่าวเบื้องต้นบริษัทคาดการณ์ว่าภายในปี 2564 จะขยายเพิ่มได้ประมาณ 5 สาขา
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดึงพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะขยายธุรกิจในรูปแบบไดร์ฟทรูและรูปแบบใหม่ๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” มีพันธมิตร ทั้ง Starbucks และ KFC เปิดให้ บริการไดร์ฟทรู จนถึง 4 ทุ่มทุกวันแล้ว อีกทั้ง วราภรณ์ ซาลาเปา และ ชาตรามือ สองแบรนด์ดังสัญชาติไทยก็เตรียมที่จะเปิดไดร์ฟทรูเป็นสาขาแรกในประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน และ 10 ตุลาคมนี้ ในส่วนสถานีบริการน้ำมันที่เปิดให้บริการใน “พอร์โต้ โก ท่าจีน” ทางดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ได้จับมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในการเปิดสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 3 บนถนนพระราม 2 เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้”
ผู้บริหาร กล่าวทิ้งท้ายว่า ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ คือผู้บุกเบิกการนำบริการไดร์ฟทรูเข้ามาเป็นแม็กเน็ตในไลฟ์สไตล์มอลล์ ซึ่งเห็นได้จากทั้ง Starbucks, Dunkin, วราภรณ์ ซาลาเปา และชาตรามือ ซึ่งได้เปิดสาขาไดร์ฟทรูเป็นครั้งแรก และในอนาคตยังมี แผนขยายธุรกิจไปตามถนนสายหลักโดยรอบกรุงเทพฯ ให้ได้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์มอลล์ของบริษัทจะเติบโต 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท หรือรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท.