AWCเปิดขายIPO-สถาบันแห่จอง/ตอกย้ำความเชื่อมั่น-ศักยภาพ

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

 AWCเปิดขายIPO-สถาบันแห่จอง/ตอกย้ำความเชื่อมั่น-ศักยภาพ


"แอสเสท เวิรด์ฯ"  เตรียมขายหุ้นไอพีโอ 8,000 ล้านหุ้น กำหนดราคา 6.00 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 6,957 ล้านหุ้น และหุ้นส่วนเกิน 1,043 ล้านหุ้น เผยนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศสนใจจองซื้อแล้วไม่ต่ำกว่า 50% พร้อมเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 25-27 กันยายนนี้ คาดเข้าซื้อขายในเดือนตุลาคมนี้ ด้านผู้บริหารตั้งเป้าระดมทุนเพื่อสนับสนุนศักยภาพและต่อยอดการเจริญเติบโตของบริษัทฯ ทั้งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building)  รองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของเขตเมือง 

 
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  เปิดเผยว่า AWC เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่อยู่ภายใต้เครือทีซีซีกรุ๊ป (TCC Group) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) มีรายได้เป็นสัดส่วน 60% ของรายได้รวม และ 2.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) มีรายได้เป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวม โดยครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการร้านค้า และอาคารสำนักงาน ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 92,000 ล้านบาท
 
ล่าสุด บริษัทได้รับการอนุมัติจาก สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO  จำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 22.47 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Option หรือ Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น โดยนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไปใช้ในกลไกการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกหลังเข้าจดทะเบียนซื้อขาย
 
ทั้งนี้ AWC ได้ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) และบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น โดยได้มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศประเภท Cornerstone Investor จำนวน 13 ราย ได้แก่ บลจ.บัวหลวง บลจ.กรุงไทย บลจ.กสิกรไทย บลจ.ทิสโก้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.ธนชาต บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.วรรณ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต Affin Hwang Asset Management Berhad, Maitri Asset Management และ GIC Private Limited ได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวนรวม 3,454,000,000 หุ้น หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น การแสดงความสนใจและเข้าทำสัญญาลงทุนในหุ้นของนักลงทุนสถาบันชั้นนำประเภท Cornerstone Investor ทั้ง 13 แห่งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพในการเจริญเติบโตของ AWC”
 
นางวัลลภา กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนจากการขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ว่า จะนำไปใช้ใน 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.เป็นเงินลงทุนในการเข้าซื้อกิจการและปรับปรุงทรัพย์สินในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ จำนวน 12 โครงการ ราคาประเมินรวม 25,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม 4 แห่งที่เปิดดำเนินการอยู่ และโรงแรมอีก 8 แห่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งจะเป็นโครงการใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสริมในพอร์ตของ AWC หลังระดมทุนขาย IPO
 
2.ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับธนาคาร ซึ่ง ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 2.5 เท่า บริษัทมีความตั้งใจจะดูแลโครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่ง และลดหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ทั้งพัฒนาและปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัทและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น
 
"การทำ IPO ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการดำเนินการของ AWC ที่จะช่วยต่อยอดรากฐานอันมั่นคงของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรในประเทศไทยเพื่อจะตอบรับโอกาสจากระดับมหภาคที่มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยเป็นจำนวนถึง 38.3 ล้านคน ในปี 2561 ตามข้อมูลของ JLL มีอัตราเติบโตของภาคการท่องเที่ยวถึงร้อยละ 10.1 ต่อปี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รวมทั้งนักเดินทางกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) มีการเติบโตระหว่างปี 2555-2560 สูงถึงร้อยละ 47.6 ต่อปี โดยกรุงเทพฯยังเป็นเมืองหลวงที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งการขยายตัวของเมืองยังคงมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง โดยที่องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่าอัตราการอยู่อาศัยในเมือง (Urbanization Rate) จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.9 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 58.4 ในปี 2573 และร้อยละ 69.5 ในปี 2593 ที่ทำให้ความต้องการด้านค้าปลีกและพื้นที่อาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เหมาะกับแต่ละตลาดและลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากแผนการตลาดในต่างประเทศและเครือข่ายสมาชิกของผู้บริหารโรงแรมระดับสากล ทำให้ธุรกิจของ AWC อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวภายใต้การสนับสนุนของเครือ TCC Group ทั้งในส่วนโครงการที่บริษัทฯ พัฒนาแล้ว เริ่มพัฒนา หรือมีแผนจะพัฒนาในอนาคต ด้วยสิทธิของบริษัทฯ ตามสัญญาให้สิทธิ ที่ทำให้สามารถเข้าถึงโครงการและที่ดินเปล่าที่มีศักยภาพสูง เพื่อเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน" นางวัลลภา กล่าว
 
ด้านดร.กานต์ ปฏิเวธวรรณกิจ หัวหน้าคณะสายงานบัญชีและการเงิน (CFO) บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต่อเนื่องและมีความสมดุล โดยมีสัดส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประจำปี 2561 เท่ากับร้อยละ 52 ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และร้อยละ 48 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับผลประกอบการหกเดือนแรกของปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีรายได้และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน1 จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักเป็นจำนวน 6,442 ล้านบาทและ 3,114 ล้านบาท ตามลำดับ 
 
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนประเภทบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ได้ในวันที่ 25-27 กันยายนนี้ โดยนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นสามัญ AWC สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 4 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย  อีก 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นสามัญของบริษัทจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้  


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ