“บิ้วตี้” ปรับ 2 แบรนด์ ‘บุฟเฟต์ สู่ มัลติแบรนด์’ และ ‘มาร์เก็ต’ สู่ เฟสติวัล ดั้มราคา สวยได้แม้ยุค ศก.ฝืด หวังฟื้นธุรกิจ

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

“บิ้วตี้” ปรับ 2 แบรนด์ ‘บุฟเฟต์ สู่ มัลติแบรนด์’ และ ‘มาร์เก็ต’ สู่ เฟสติวัล ดั้มราคา สวยได้แม้ยุค ศก.ฝืด หวังฟื้นธุรกิจ


ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดสุขภาพและความงาม มีการแข่งขันสูงและรุนแรงขึ้น โดยตลาดเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 7-8% แต่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตแค่ 2%4% จากปกติตลาดเครื่องสำอางจะเติบโต 7-8% อย่างสม่ำเสมอ เป็นผลทั้งจากสภาวะเศษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อกำลังซื้อของคนในประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทได้วางเป้าไว้อยู่ที่เพียง 2,200 ล้านบาท ดังนั้น ปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับแผนธุรกิจใหม่เพื่อจะผลักดันยอดให้เติบโตขึ้นตามเป้าที่วางไว้  ด้วยการปรับโฉมร้าน BEAUTY BUFFET สู่การเป็นร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ที่ครบวงจรทั้งด้านสุขภาพและความงาม ภายใต้แนวคิด The Kitchen Storage เข้าถึงได้ง่ายหลากหลายรูปแบบในราคาที่สมเหตุสมผล พร้อมกับจับมือกับพันธมิตรทั้งหมด 14 แบรนด์ เช่น Karmart, Snail White, Smith Her Highness Highness ที่เริ่มเข้ามาวางขายแล้วตั้งแต่ ก.ค.ที่ผ่านมา และจะเริ่มทยอยประเดิมนำสินค้าเข้าจำหน่าย ในร้าน BEAUTY BUFFET 120 สาขาทั่วประเทศ โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น สินค้าแบรนด์เราเอง 80 % และสินค้าแบรนด์พันธมิตรชั้นนำ (มัลติแบรนด์) 20 % โดยประเดิมเปิด Flagship Store แห่งแรกที่ สาขามาบุญครอง และ มีแผนจะปรับโฉมร้านใหม่อีก 3 สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว เซ็นทรัล ชลบุรี และ โรบินสัน จ.ตรัง รวมทั้งสิ้น 4 สาขาในปีนี้

ถ้าพูดถึงความแตกต่างระหว่างร้านของเรากับร้านสุขภาพและความงามมัลติแบรนด์อื่นๆ ร้านของเราจะมีขนาดร้านค้าที่เล็กกว่า เน้นผู้ซื้อที่มีสินค้าที่ต้องการตั้งเป้าอยากมาซื้ออยู่แล้ว ไม่ต้องการ window shopping และ สอง คือการวางขายเฉพาะแบรนด์คนไทย (local brand) เท่านั้น ไม่มีอินเตอร์แบรนด์เหมือนร้านอื่น ๆ โดยการปรับโฉมครั้งนี้บริษัทคาดว่าจะทำให้ได้รายได้เพิ่มขึ้นจากค่าแรกเข้า ค่าบริหารจัดการกระจายสินค้า และเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย (ค่าจีพี) ที่เก็บรายได้จากแบรนด์พันธมิตร 18-20 ล้านบาท ภายในปีนี้ สำหรับแผนทำตลาดร้านดังกล่าวบริษัทจะมุ่งเน้นใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ O2ควบคู่ไปกับการใช้  Experience Sharing ผ่านทางกลุ่มของ Macro Influencers ที่สามารถสร้าง Mass Awareness ได้ เพื่อให้บอกเล่าถึงประสบการณ์ความประทับของรูปแบบร้าน, ความหลากหลายของสินค้า, การให้บริการของพนักงาน และโปรโมชั่น ที่น่าสนใจของทั้งสินค้าเราเองและพันธมิตรแชร์กลับไปบนโลกออนไลน์

ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการขยายสาขาปีนี้  บริษัทจะไม่เน้นการเปิดสาขามากเท่าไร แต่จะเน้นในการปิดบางสาขาที่ไม่ตอบโจทย์และไปหาโลเคชั่นที่เหมาะสมทดแทนกันไปมากกว่าที่จะขยายสาขาใหม่เพิ่ม ปัจจุบันมี 328 สาขา แบ่งเป็น บิวตี้บุฟเฟต์ 259 สาขา 2. ร้านบิวตี้คอตเทจ 69 สาขา และ 3. ร้านบิวตี้มาร์เก็ต 1 สาขา แต่บริษัทมีการวางแผลนว่าจะอาจจะปิดและเปิดในคอนเซ็ปต์ใหม่ภายใต้  ร้านเฟสติวัลเอาต์เลต แนวคิดคือ Everyday Low Price ในรูปการที่เราไปเปิดร้านขายสินค้าความงามแบบออกบูทตามงานต่างๆ ซึ่งสินค้าต่างๆ ที่นำไปวางจำหน่ายจะมีการปรับราคาสินค้าลงมาประมาณ 30% โดยขั้นต่ำจะเริ่มที่ราคา 39-79 บาท เนื่องจากการที่เรามองจะทำการตลาดในแผนดังกล่าวกับตัวบิ้วตี้มาร์เก็ตนั้น เราเล็งเห็นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ อาจจะส่งผลให้ผู้หญิงที่ไม่อยากหยุดสวย แต่ก็ต้องชะลอ รัดเข็มขัดในการใช้จ่ายเรื่องความงามลงก็ยังคงสามารถมีช่องทางโอกาสสวยได้อยู่ภายใต้ร้านคอนเซ็ปต์ใหม่นี้ที่เราวางแผลนไว้ว่าน่าจะเห็นในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปีนี้



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ