นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือในปีนี้คาดว่าน่าจะสามารถเติบโต 5% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 1.5 แสนล้านบาท เนื่องมาจากในครึงปีหลังนีคาดว่าจะมี แฟลกชิพของแบรนด์ต่างๆ ออกมาวางตลาดประมาณเดือนสิงหาคม และไตรมาสสุดท้ายเป็นซีซันนอลของสินค้า มือถือ ส่วนในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมาในแง่ของยูนิตหรือจํานวนเครืองอัตราเติบโตไม่เพิมขึ้น แต่จากการทีราคา มือถือเพิมขึนจากแฟลกชิพรุ่นใหม่ของค่ายมือถือทําให้ตลาดรวมในแง่มูลค่าสูงขึ้น 5%

ดังนั้น บริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ชั้นนำของประเทศ ต้องการรักษาโมเมนตัมความสำเร็จ ของแคมเปญฉลองครบรอบ 30 ปีของเจมาร์ท ที่ได้เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาสสองที่ผ่านมา และได้รับการตอบ รับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และสำหรับไตรมาสสามนี้ เจมาร์ท ยังเดินหน้าสานต่อ ด้วยการเปิดเฟส 2 กับโปรโมชั่นใหญ่ ภายใต้ชื่อ “เจมาร์ท จัดดีลใหญ่ เก่าแลกใหม่ ลด 5 ต่อ” โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 6 ตุลาคม 2562 มีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และการให้สิทธิประโยชน์กับฐานลูกค้าเก่า

ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า ตนเองเพิ่งได้เข้ามารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่บริษัท เจมาร์ท โมบาย จํากัด ได้ประมาณ 2 เดือนเท่านั้น โดยหลังจากนี้ที่ตัวเองเข้ามาบริหาร โดยวางแผนจะเริ่มทำการรีแบรนด์เจมาร์ทโมบายครังใหญ่ และปรับลุคร้านค้าสู่ “แกดเจ็ต เดสติเนชัน” ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงทยอยปรับและเปลี่ยนแปลงขององต์กรทั้งภายในและภายนอก ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ภายในปี 2563 ประกอบกับเราได้วางกลยุทธ์ไว้เบื้องต้นว่าต้องการปรับให้บริษัทสร้างกําไรเป็นหลักโดยไม่เน้นการทําตลาดทีมียอดขายเข้ามามากๆ แต่ไม่ทํากําไรอีกต่อไป ภายใต้กลยุทธ์ ดังนี้  

อย่างแรก คือ ปรับโครงสร้างองค์กรในเรื่องของคน ในการปรับบุคคลกรทั้งเก่าใหม่ โดยการจัดคนให้เหมาะสมกับตำแหน่งการงาน เอาคนไม่มีประสิทธิภาพการทำงานออก และให้ความสำคัญของฝ่ายขายมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทํางานมากขึน

ต่อไปคือสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นจากสาขาที่มีอยู่แล้ว โดยไม่เน้นการขยายสาขาใหม่ โดยวางไว้หลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดสาขาที ขาดทุนหรือเลิกไป และอีกแนวทางหนึงคือ การเพิ่มรายได้จากสาขาเดิมทีมีอยู่ ด้วยการเพิ่มช่องทางขายของมือถือในทําเลใหม่ๆ เช่น ขายนําไอโฟนไปจําหน่ายในร้านเจมาร์ทโมบายในตลาดต่างจังหวัดมากขึน โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ทีมี ศักยภาพ จากเดิมทีเน้นขายไอโฟนเฉพาะสาขาในกรุงเทพ ปริมณฑลเป็นหลัก อีกทั้งจะนําสินค้าไลฟ์สไตล์แกดเจ็ดไปวางจําหน่ายใน ร้านเจมาร์ทให้มากขึนและหลากหลายแบรนด์ขึน ใช้ฐานลูกค้าเดิมให้ซือสินค้ามากขึ้น แต่ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นหยุดการขยายสาขาแต่เพียงต้องพิจารณาการเลือกทำเลที่ดีเหมาะสมจริง ๆ ในการจะเปิดสาขาใหม่ 

สุดท้าย คือ การซินเนอร์จีกับบริษัทในเครือที่สามารถใช้ศักยภาพแต่ละบริษัททีมีอยู่ มาร่วมกัน ทํางานเพือเพิมผลกําไร ตัวอย่างเช่น การร่วมกับ เจมันนี ขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยมากขึน ซึงจะ ทําให้ขายมือถือได้มากขึน เป็นต้น