“โรงไฟฟ้ามินบู”เริ่มจ่ายไฟ/GEPรอรับกำไรปีละ500ล้าน

วันพฤหัสบดีที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

“โรงไฟฟ้ามินบู”เริ่มจ่ายไฟ/GEPรอรับกำไรปีละ500ล้าน


'โรงไฟฟ้ามินบู'  เฟสแรก เปิดตัวอลังการ จากพลังความร่วมมือ SCN-ECF-META “ออง ซาน ซูจี” ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมาร์เปิดโครงการอย่างเป็นทางการตอกย้ำความสำเร็จ ด้าน GEP คาดบริษัทเตรียมทยอยรับรู้รายได้หลังจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบทันที  

โครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ขนาด 220 MWDC ตั้งอยู่ในพื้นที่เขต อ.มินบู จ.มาเกวย สาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) เป็นโครงการที่ได้รับการออกแบบและดำเนินการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานระดับสากล และเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในพม่า โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 220 เมกกะวัตต์ พื้นที่รวมของโครงการมีขนาด 836 เอเคอร์ หรือเท่ากับ 2,115 ไร่ ซึ่งได้รับสิทธิเช่าพื้นที่จากรัฐบาล และบริษัทในประเทเมียนมา

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัท พลังงานพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด  หรือ GEP (Green Earth Power Thailand) ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัทจดทะเบียนของไทย(บจ.)ประกอบด้วย บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ถือหุ้น 40%, บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META 5nvs6ho 12%, บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ถือหุ้น 20% และบริษัทโกลบอล แพลเน็ต จำกัด ถือหุ้น 28%  โดยได้รับสัมปทานเพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built-Operate-Transfer) มีระยะเวลาสัญญา 30 ปี  ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐ 0.1275 USD ต่อ kWh แบ่งเป็นระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างออกเป็นทั้งหมด 4 ระยะ โดย 3 ระยะแรกจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 50 MW และ 70 MW ในระยะสุดท้าย

 โดยเมื่อมีการดำเนินการจ่ายไฟแล้ว จะขายให้กับหน่วยงานจัดหาพลังงานภายใต้กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน (Electric Power Generation Enterprise :EPGE)) ของรัฐบาลพม่ามีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350,000,000 kWh  ต่อปี เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้า 2 แสนครัวเรือน ความสำเร็จของโครงการจะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ซึ่งโครงการจะกลายเป็นแบบอย่างและความภาคภูมิใจของประเทศเมียนมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกโครงการดังกล่าวต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ทั้งปัญหาการขาดแหล่งเงินทุน ปัญหาอดีตผู้ร่วมทุนขายหุ้นคืน ส่งผลให้โครงการก่อสร้างล่าช้าและเลื่อนการจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ล่าช้าจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถ COD ได้ในปี 2561 อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขทำโครงการไฟฟ้ามินบู เฟส1 สามารถดำเนินการ COD ได้แล้ว รวมทั้งยังมีสถาบันการเงินของไทยสนใจที่จะปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนให้กับโครงการดังกล่าวในระยะต่อไปในเฟส 2,3 และเฟส4 ที่มีกำหนดระยะเวลาดำเนินการทุก 1ปี ทั้งนี้คาดว่า GEP จะได้กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ปีละ 500 ล้านบาท

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา นางอองซาน ซู จี ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา พร้อมด้วยรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย, รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการไฟฟ้าและพลังงาน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม, รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และ หัวหน้าคณะรัฐมนตรีแห่งรัฐมาเกวย (Magway) เป็นประธานเปิดงานอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันความสำเร็จและตอกย้ำความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว

 โดย ออง ซาน ซูจี ได้ย้ำว่า โครงการโรงไฟฟ้ามินบูเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าโซล่าร์แห่งแรก และเป็นความภาคภูมิใจของประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาที่ได้มีโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มาช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนเมียนมาดีขึ้น

ออง ทีฮา ประธานกรรมการ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GEP กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้สร้างความสำเร็จและได้เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศเมียนมาให้ก้าวหน้าไปทันประเทศอื่นๆ ซึ่งโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลอย่างเต็มที่ ต้องยอมรับว่าประชาชนชาวเมียนมาส่วนมากยังใช้ชีวิตอยู่โดยขาดแคลนไฟฟ้าใช้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้จะทำให้ชาวเมียนมามีชีวิตที่ดีขึ้น โดยความสำเร็จนี้การันตีความสำเร็จของ GEP ในอนาคตเพื่อก้าวต่อไปในการพัฒนาโครงการอื่นๆในอนาคต ในฐานะคนเมียนมา

และหนึ่งในผู้บุกเบิกพลังงานสะอาดในเมียนมา รู้สึกทราบซึ้งในการสนับสนุนการพัฒนาโครงการจากนักลงทุน สถาบันการเงิน และพันธมิตรทั้งจากไทยและประเทศอื่นๆ ที่ได้มีส่วนช่วยให้คนเมียนมามีไฟฟ้าใช้เพิ่มมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่าประเทศเมียนมามีวิสัยทัศน์ที่ทันสมัยผ่านความสำเร็จของโครงการของเรา

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้ามินบู โดยก่อนที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้ SCN ได้ตั้งทีมศึกษารายละเอียดของโครงการอย่างถี่ถ้วนและมั่นใจว่าโครงการนี้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างแน่นอน

ดร.ฤทธี บอกว่า จากความสำเร็จในเฟสแรกนี้แม้เป็นเพียงก้าวแรกของโครงการ แต่เราเชื่อมั่นว่าการก่อสร้างเฟสต่อๆ ไปจะประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีเพราะมีทีมงานที่มีประสบการณ์และคุ้นเคยการทำงานร่วมกันหมดแล้วหลังจากโครงการ COD แล้ว SCN จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน GEPT เป็น ร้อยละ 40 ซึ่งจะส่งผลให้การรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเราจะกลายเป็นผู้ลงทุนและถือหุ้นใหญ่ใน GEPT ซึ่งประเมินแล้วว่าผลตอบแทนที่จะได้มีความคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างแน่นอน เราไม่ได้มองแค่ที่เมียนมาแต่ยังมีประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ที่เป็นเป้าหมายในการขยายการลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างพิจารณาศึกษาการลงทุนในประเทศเวียดนามและใกล้เคียง

 “อารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ(ECF กล่าวว่า ECFเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ มินบู ประเทศเมียนมา ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยลงทุนผ่าน บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด ในฐานะบริษัทย่อยของบริษัท คาดว่าจะเริ่ม COD เฟสที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ภายในไม่เกินไตรมาส 2-3 นี้  ส่งผลให้บริษัทจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรได้ทันทีในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนการเริ่ม COD ของเฟสที่ 2 3 และ 4 จะทยอยการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการหลัง COD 360 วันของแต่ละเฟสเป็นลำดับต่อไป ซึ่งในปีนี้ ธุรกิจพลังงานทดแทนที่ ECF ได้เข้าลงทุน จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจน โดยที่ผ่านมาได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 เมกะวัตต์

อีกทั้งบริษัทมีแผนขยายธุรกิจด้านพลังงานอย่างจริงจัง โดยยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีกหลายโครงการในต่างประเทศ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าจะช่วยสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ดังนั้นหากมีโครงการพลังงานทดแทนที่มีความน่าสนใจ บริษัทพร้อมที่จะเข้าไปศึกษาโครงการนั้นๆ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนกิจการ

 

 

ศุภศิษฎ์ โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META ผู้นำทางด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กล่าวว่า ในฐานะผู้พัฒนาและรับเหมาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ามินบู มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำโครงการโซล่าหรือโครงการพลังงานทางเลือกในเมียนมาได้สำเร็จเป็นคนแรก โรงไฟฟ้ามินบูเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา

ศุภศิษฎ์ บอกว่า ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทฯ มีศักยภาพมากพอในด้านการปฏิบัติการและในการรับเหมาก่อสร้างโครงการใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ หลังจากที่ได้เข้ามาบริหารงานตั้งแต่ปี 2016 ได้ศึกษาและทำความเข้าใจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านความเสี่ยง วิธีการทำงานในเมียนมา การให้ความรู้และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐที่ต้องอาศัยการบริหารความสัมพันธ์อันดี ทำให้เรามีความแน่นแฟ้นกับชาวเมียนมามากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ในการขยายธุรกิจรับเหมาของบริษัทฯ ด้วยความเชียวชาญนี้จะทำให้บริษัทฯ มีช่องทางในการรับงานรับเหมากับโครงการอื่นๆ ในเมียนมา และทำให้เรามีโอกาสขยายตัวสูงขึ้น มุ่งเข้าพัฒนาธุรกิจในโครงข่ายพลังงานและด้านอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันชาวเมียนมามีไฟฟ้าใช้เพียงแค่ 1 ใน 3 ของประเทศ การเข้าไปสร้างโรงไฟฟ้า ในพื้นที่ดังกล่าว เป็นการช่วยให้ชาวบ้านและเมืองมินบูมีการพัฒนามากขึ้น ดึงความเจริญเข้าสู่พื้นที่ ช่วยพัฒนาชุมชน สร้างงาน สร้างโอกาส

ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการดังกล่าว จะทำให้ META รับรู้รายได้จากสองทางคือรายได้จากการจำหน่ายไฟและรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2562 นี้ และจะดำเนินการก่อสร้างโครงโรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2,3,และ 4 ทันที ตามลำดับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ