“เมก้าฯ” วางเกมส์ ‘ไล่เทคโอเวอร์-สร้างโรงงาน’ ผลิตยาเอง รุกประเทศกำลังพัฒนา ดันธุรกิจเติบโต 2 เท่าในอีก 6 ปี

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

“เมก้าฯ” วางเกมส์ ‘ไล่เทคโอเวอร์-สร้างโรงงาน’ ผลิตยาเอง รุกประเทศกำลังพัฒนา ดันธุรกิจเติบโต 2 เท่าในอีก 6 ปี


นาย วิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA  กล่าวว่า บริษัทในฐานะแบรนด์ชั้นนำในตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์ยาจำหน่ายหน้าเคาท์เตอร์ใน 33 ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก  โดยเฉพาะในประเทศไทย เมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้โดยเฉลี่ยปีละ12 % หรือ มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2 เท่าจากพ.ศ. 2557-2561โดยในไตรมาสที่ 1/2562 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้ดังนี้  ธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าเมก้าวีแคร์จำนวน 1,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 , รายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แม็กซ์แคร์จำนวน 1,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3  และ รายได้จากธุรกิจรับจ้างผลิตให้แก่ลูกค้าอื่นจำนวน 53 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34.9 โดยอัตราการเติบโตของรายได้ทั้งหมดเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

จากการเติบโตที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยแผนดำเนินธุรกิจหลัก ๆ ที่วางไว้นับจากนี้ จะมองการเข้าไปซื้อกิจการทีมี ศักยภาพ และขยายการลงทุนอย่างต่อเนือง ทังการตังโรงงานผลิต การทําการตลาด ในเป้าหมายหลักกลุ่ม ประเทศทีกําลังพัฒนาและมีโอกาสขยายตัวสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและ ลาตินอเมริกา แอฟริกาใต้ รวมถึงเนปาล เอธิโอเปียและโคลัมเบีย โดยคาดว่าตลาดเหล่านีจะมีการเติบโตทีดีใน อีก 5-7 ปีข้างหน้า โดยที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท ไบโอ-ไลฟ์ มาร์เก็ตติง เอสดีเอ็น บีเอชดี หนึงในบริษัทอาหารเสริมสุข ภาพชันนําของประเทศมาเลเซีย และได้สิทธิความเป็นเจ้าของในผลิตภัณฑ์ยาของบริษัท แซนดอส จีเอ็มบีเอช (Sandoz GmbH) ในประเทศเมียนมาและประเทศเอธิโอเปีย ถือเป็นการตอกยําความมุ่งมันทีจะเติบโตในระดับ ภูมิภาคของเมก้าทีชัดเจน และวางเป้าหมายทีจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าตามเป้าหมายภายในปี 2568

ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนขยายธุรกิจและการลงทุนในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ บริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งได้ลงทุนบางส่วนไปแล้วจนถึงเดือนมีนาคม 2562 และส่วนที่เหลือจะลงทุน ในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยเงินลงทุนจำนวน 600 ล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเมียนมา ภายใต้กิจการร่วมค้า เมก้า เอ็มเอสเอ็น (เอ็มเอสเอ็น แลบบอราทอรี่ เป็นบริษัทวิจัยที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศอินเดีย โรงงานแห่งนี้คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 เพื่อผลิตยารักษาโรคใหม่ เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาโรคเบาหวาน และยารักษาโรคหัวใจ โดยคาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในปี 2565/2566 นอกจากนี้ บริษัทฯ ทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ก่อสร้างพื้นที่สำนักงานและศูนย์กระจายสินค้าทีใหญ่ทีสุดในประเทศเมียนมา เพือสนับสนุนธุรกิจโลจิสติกส์และการบริการ กระจายสินค้า คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562ในประเทศเมียนมา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562

ส่วนงบลงทุนอีก 500 ล้านบาท เพือขยายโรงงานใหม่ทีบางปู ประเทศไทย ในพืนทีติดกับ โรงงานปัจจุบันของบริษัท โดยจะประกอบไปด้วย ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) คลังเก็บสินค้า และ โรงงานผลิตยาชนิดเหลว ซึงเป็นการเพิมประเภทใหม่สําหรับยาตามใบสังแพทย์และสมุนไพรสําหรับเด็กไว้ใน พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ด้วยซึงขณะนีอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 ด้านความคืบหน้าในการดําเนินงานของบริษัท เมก้า มาลี จํากัด บริษัทร่วมทุนระหว่างเมก้าและบริษัท มาลีกรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ขณะนีได้มีผลิตภัณฑ์แบรนด์ DR.DRINK ออกสู่ตลาดแล้ว 2 รายการ ได้แก่ AK-TIV และ DGEST เครืองดืมทัง 2 รายการดังกล่าวผลิตจากส่วนผสมจากพืช 100% และปราศจากสารเคมี  นาย วิเวก กล่าวสรุป

 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ