เป็นข่าวฮือฮากันมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับประเด็น “กรณีสหรัฐขึ้นแบล็กลิสต์บริษัทหัวเหว่ย” และต่อมากูเกิลได้ประกาศตัดความสัมพันธ์กับ หัวเหว่ย Huawei บริษัทมือถือแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีน สั่นสะเทือนโลกอินเตอร์เน็ตและวงการไอทีอยู่ในขณะนี้ เพราะผลดังกล่าวจะทำให้โทรศัพท์หัวเหว่ยรุ่นใหม่ ๆ ไม่สามารถใช้บริการใด ๆ จาก google service ได้ เช่น youtube google map gmail chrome ซึ่งล้วนแล้วสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งสิ้น
โดยหลังจากนั้นทาง “หัวเว่ย” ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าวเป็นภาษาไทยระบุว่า จากกรณีการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับกูเกิลจะระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ยนั้น หัวเว่ยขอชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการและการเติบโตของแอนดรอยด์ทั่วโลก และในฐานะที่เป็นพันธมิตรรายหลักของแอนดรอยด์ในระดับโลก เราได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับแพลทฟอร์มโอเพ่นซอร์ซของพันธมิตรทั่วโลกเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็มที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ใช้และต่ออุตสาหกรรมนี้
หัวเว่ยขอให้ความมั่นใจว่าจะยังคงให้บริการอัพเดทซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของหัวเว่ยที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดต่อไป ครอบคลุมถึงโมเดลที่ได้จำหน่ายออกไปแล้วและที่ยังรอการจัดจำหน่ายอยู่ในสต็อกทั่วโลก
“เราขอยืนยันว่าจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็มของซอฟท์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ผู้ใช้ทั่วโลก”
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Huawei ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ ว่า ข้อจำกัดที่สหรัฐฯตั้งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ Huawei มากนัก และหัวเว่ยยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา แม้ว่าจะไม่สามารถซื้อชิปจากซัพพลายเออร์ในสหรัฐฯ
จากนั้นต่อมาทางหัวเหว่ยก็ออกมาประกาศว่าได้พัฒนาระบบโอเอสของตัวเองแล้วตั้งแต่ปี 2555 ชื่อ หงเมิ่ง (Hongmeng) และประธานาธิบดีจีน ก็ออกมาประกาศตอบโต้ว่าจะไม่ขายแร่ซึ่งผลิตชิปให้แก่สหรัฐ ซึ่งแร่ที่ใช่ผลิตซิปนั้น ผู้ขายรายใหญ่ 90 % ของตลาดคือจีนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ท่าทีของสหรัฐล่าสุดจึงเริ่มเปลี่ยนไป โดยกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาได้ยืดเวลาผ่อนผันให้ Huawei อีก 90 วัน โดยสามารถซื้อสินค้าจากบริษัทในอเมริกาได้ แต่เพื่อนำไปใช้ในการดูแลรักษาระบบเครือข่าย และการอัพเดทสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ไม่ให้นำไปผลิตสินค้าใหม่ นั่นหมายความว่าบริษัทอย่าง Google, Intel, Qualcomm ยังมีเวลาทำงานกับ Huawei ได้ในการดูแลรักษาระบบ แต่ไม่สามารถผลิตอะไรใหม่ ๆ ได้ ทั้งนี้ เป็นการอ้างเหตุผลเพื่อไม่ให้กระทบการใช้งานผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ แต่อย่างไรก็ตาม หากนโยบายดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลง หลังจาก 3 เดือนนี้ การแบล็กลิสต์ของสหรัฐที่มีต่อ หัวเหว่ย Huawei ก็จะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
จากกรณีนี้เชื่อว่ายังคงเป็นประเด็นที่น่าสนใจที่คนทั่วโลกยังคงจับตามองกันทุกย่างก้าว เพราะมีผู้บริโภคกว่าร้อยล้าน จากหลายประเทศทั่วโลกที่ใช้โทรศัพท์หัวเหว่ย ดังนั้น เชื่อว่าศึกครั้งนี้ยังไม่น่าจบง่าย ๆ เราคงต้องมาลองลุ้นดูว่าอนาคตต่อไปจะเป็นยังไง
------------------------------------------------------------------
ข้อมูลบางส่วน : androidauthority.com