“ซีพีที ไดร์ฯ” ติดปีก หลังได้รับความไว้วางใจให้เป็น “License Partner” ผลิตตู้ไฟฟ้า-จำหน่ายอุปกรณ์ภายใต้แบรนด์ ‘SIEMENS’ ยกระดับสินค้าสู่มาตรฐานโลก ลุยขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม-งานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ คาดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้
นายสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้าสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักร ภาคอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า บริษัทได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ผู้นำด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ ในการแต่งตั้งให้ CPT เป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญในประเทศไทย โดยได้มอบ “License Partner” ให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าและบริการภายใต้แบรนด์ ‘SIEMENS’ รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีทางวิศวกรรมต่างๆ ในการผลิตตู้ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานระดับโลก (World-class Standard) และมีส่วนช่วยสำคัญให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปได้ในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากการทำข้อตกลงความร่วมมือ บริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมยังต่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าที่มีมาตรฐานระดับโลก ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ก่อนที่บริษัทจะเริ่มทดสอบการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) คาดว่าบริษัทจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2562
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากการร่วมมือดังกล่าวทำให้บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยัง กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งจะเข้าไปรับงานด้านระบบควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงให้บริการติดตั้งตู้ไฟฟ้า และก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยต่างๆ โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตไว้ที่ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 964.18 ล้านบาท
นายเดนนิส กาเบรียล คริสตอฟ (Mr. Dennis Gabriel Kristof) Sales & Business Development Director of Low Voltage Products, Siemens Smart Infrastructure Asia & Pacific กล่าวว่า ซีเมนส์ มีความยินดีที่ CPT มาเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรของซีเมนส์ ในการร่วมกันพัฒนาและยกระดับศักยภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย เนื่องจาก CPT ถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของ CPT ซึ่งจะสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของซีเมนส์ ที่จะเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยในอนาคตได้
ทั้งนี้ ตลาดในประเทศไทยถือว่ามีความแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากการเร่งลงทุนของภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตของทั้ง 2 บริษัทในระยะยาว