กลุ่มศรีสวัสดิ์โชว์กำไรปี 2561 ทะลุ 3 พันล้านบาท พอร์ตลูกหนี้โตเฉียด 30% เดินหน้าขยายสาขาคลอบคลุมทั่วประเทศ ขณะที่ตัวเลขเอ็นพีแอลลดลงเหลือแค่ 3% ลั่นปีนี้พร้อมรุกธุรกิจเต็มสูบ หลังหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อชัดเจน แถมกลุ่มคาเธ่ย์ไต้หวัน ใส่เงินเพิ่มทุนครบ 2.5 พันล้านบาท
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 3,000.89 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 285.74 ล้านบาทหรือ เพิ่มขึ้น 10.52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 2,751.15 ล้านบาท
ขณะที่มีรายได้รวมงวดปี 2561 อยู่ที่ 7,881.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวม 6,998.6 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในส่วนของรายได้รวมปี 2560 จำนวน 6,998.6 ล้านบาทนั้น หากไม่นับรายการพิเศษจากการปรับปรุงมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้มาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเงินทุนศรีสวัสดิ์ จำกัด(มหาชน) จำนวน 185.65 ล้านบาท และกำไรจากการขายเงินลงทุนของบริษัทย่อย 154.85 ล้านบาท และรายการกำไรจากการโอนเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนจำนวน 102.06 ล้านบาท กลุ่มบริษัทศรีสวัสดิ์จะมีรายได้รวมปี 2560 จำนวน 6,556.13 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวมปี 2561 จำนวน 7,881.3 ล้านบาท รายได้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 20.2%
นางสาวธิดา กล่าวต่อว่า การเติบโตของรายได้รวมในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นจาก 22,916.85 ล้านบาทในปี 2560 เป็น 29,573.18 ล้านบาทในงวดสิ้นปี 2561 เพิ่มขึ้น 29.05% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของพอร์ตลูกหนี้ดังกล่าวมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของกลุ่มบริษัทที่ต้องการให้บริการลูกค้าคลอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีสาขาจำนวน 2,870 สาขา และปีนี้ตั้งเป้าว่ามีสาขาทั้งหมด 3,100 สาขา
สำหรับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 ได้ปรับลดลงมาเหลือที่ 3.02 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีเอ็นพีแอลประมาณ 3.94% เนื่องจากระบบการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่มีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 388.35 ลดลง 5.46 ล้านบาท จากงดเดียวกันของปี 2560 จำนวน 393.81 ล้านบาท
ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ ยังเติบโตต่อเนื่อง หลังจากที่กฏระเบียบการปล่อยสินเชื่อมีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับทางกลุ่มคาเธ่ย์ ไต้หวัน ซึ่งเป็นกลุ่มการเงินขนาดใหญ่และน่าเชื่อถือของไต้หวัน ได้ใส่เงินเพิ่มทุนให้กับบริษัทครบทั้งจำนวนกว่า 2.5 พันล้านบาท ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง มีต้นทุนการเงินที่ถูกลง จึงมีความพร้อมที่จะขยายสินเชื่อมากขึ้น
“กลุ่มคาเธ่ย์ไต้หวัน ใส่เงินเพิ่มทุนมาครบแล้ว ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็นประมาณ 10% ซึ่งทางกลุ่มคาเธ่ย์ไต้หวัน ยืนยันว่าจะเข้ามาลงทุนในระยะยาว และจะเข้ามาเกื้อหนุนธุรกิจร่วมกันในอนาคต” นางสาวธิดากล่าว