ปัจจุบันโรคมะเร็งเต้านมยังคงรั้งอันดับเป็นโรคมะเร็งร้ายที่พบมากที่สุดในผู้หญิงไทยและทั่วโลก ซึ่งมีข้อมูลว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมมากถึงร้อยละ 39.431 โดยพบมากที่สุดในช่วงอายุ 55 ปี ทั้งยังมีแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยเพื่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้หญิงยุคใหม่ที่กลายเป็นตัวเร่งสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม
รศ.นพ. นรินทร์ วรวุฒิ อาจารย์พิเศษคณะแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มะเร็งเต้านม เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติภายในเต้านมแล้วกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ซึ่งจำนวนมากกว่าร้อยละ 95 ของผู้ป่วยมักเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่มีสาเหตุจากท่อน้ำนม โดยอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง อาทิ ฮอร์โมนเพศหญิง พันธุกรรม โดยมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าหากมีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านมก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปถึงจำนวน 1 ใน 3
นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้วปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่งคือรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่มุ่งแต่การทำงานเพื่อตามล่าเป้าหมายในชีวิต โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพของตนเองเท่าที่ควรที่มีชื่อเรียกว่า “ไลฟ์สไตล์มรณะ” ซึ่งมีดังต่อไปนี้
สำหรับผู้ที่กังวลว่าตนเองอาจอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสามารถเริ่มต้นตรวจสอบตนเองได้อย่างง่ายๆ ด้วยการคลำเต้านมอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง คลำสลับขึ้นลงและไปมาให้ทั่วทั้งเต้านม ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการคลำเต้านมหาความผิดปกติคือช่วงหลังประจำเดือนหมดลงประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงที่เต้านมจะอยู่ในสภาวะปกติที่สุด หากว่าสามารถสังเกตถึงความผิดปกติของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้ผลการรักษาเป็นไปได้อย่างดีมากยิ่งขึ้น
“แต่สำหรับผู้ที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว ก็ไม่ควรต้องเป็นกังวลมากนัก แต่ควรตั้งสติ เตรียมพร้อมในการรักษาและศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมอย่างถ่องแท้ นอกจากนี้ยังมีแนวทางการรักษาในปัจจุบันที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีความแตกต่างกันไปตามแต่ระยะของโรคและชนิดของมะเร็งเต้านม ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การรักษาด้วยยา ทั้งยาต้านฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด และยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ต่อไป” รศ.นพ. นรินทร์ กล่าวเพิ่มเติม