นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า จากเทรนด์เรื่องสุขภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โคคา-โคลา จึงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ช่วยขยายพอร์ตโฟลิโอให้สนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และสะท้อนการเป็นบริษัทเครื่องดื่มเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง ล่าสุดจึงได้ร่วมมือกับบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในการส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรชาวไทยในการพัฒนาเครื่องดื่มมินิทเมด 2 รสชาติใหม่ ได้แก่ มินิทเมดน้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม และมินิทเมดน้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว ออกมารุกตลาด

“การร่วมมือครั้งนี้อของโคคา-โคลา กับ ดอยคำ นั้น เราในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้พร้อมดื่มไทยที่ชูความแกร่งของมินิทเมด ในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้อันดับหนึ่งของโลก และดอยคำในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้ซึ่งดำเนินกิจการเพื่อสังคมที่ผู้บริโภคมอบความรัก และความวางใจให้เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ที่ร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่มที่มีส่วนผสมจากน้ำผลไม้แท้ รสชาติถูกปากคนไทยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบรับเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่องโดยจะวางจำหน่ายมินิทเมดน้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม ขนาด 280มล. และ 335มล. และมินิทเมด น้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว ขนาด 280มล. ทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรดและเทรดดิชั่นแนลเทรดทั่วไป ”

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ได้รับจากดัชนีค้าปลีกของเดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) แบรนด์น้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมดครองส่วนแบ่งตลาด 11.5% ของตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท และภายใต้ความร่วมมือนี้โคคา-โคลา จะทำการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร คือ มะเขือเทศ และเสาวรส จากเกษตรกรส่งเสริมของดอยคำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้พร้อมดื่ม มินิทเมด สองรสชาติใหม่ นี้ 

ด้านนายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด กล่าวต่อว่า จากกรณีที่มีการจัดเก็บภาษีน้ำตาลออกมาเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลกระทบต่อเครื่องดื่มโดยรวมเป็นอย่างมาก  ก็มีส่วนส่งผลให้ยอดขายของดอยคำก็ตกลงไปมากกว่า 40% แล้ว เป็นผลกระทบมาจากภาษีน้ำตาล และปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ดีเป็นตัวแปร โดยจากผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อยอดเป้าหมายรายได้รวมสิ้นปี 2561 นี้ที่ตั้งไว้เดิมว่าจะทำได้ประมาณ 2,400 ล้านบาท คาดว่าคงไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมาย แต่คงจะสามารถรักษาระดับไว้ที่ประมาณ 2,000-2,100 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2561 นี้บริษัทฯ จะเร่งทำการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายให้กระเตื้องขึ้น ซึ่งสามเดือนสุดท้ายนี้ถือเป็นหน้าขายที่มีสัดส่วนประมาณ 30% ของทั้งหมด โดยจะมีการออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ทั้งน้ำผลไม้ และน้ำสมุนไพร และจะหันมามุ่งเน้นความเป็นผู้นำด้านมะเขือเทศ ซึ่งเป็นจุดแข็งของดอยคำ โดยมียอดขายมาจากน้ำมะเขือเทศเป็นหลัก