ศึกธุรกิจความงามยังคงแข่งขันกันดุเดือด ยิ่งช่วงไตรมาสสุดท้ายส่งท้ายปี ที่ถึงแม้กระแสการตลาดออนไลน์จะซบเซา แต่ “แบรนด์มานา” ไม่หวั่น!! แม้ศึกธุรกิจความงามยังคงแข่งขันกันดุเดือด ยิ่งช่วงไตรมาสสุดท้ายส่งท้ายปี และกระแสการตลาดออนไลน์จะซบเซา งัดแผนเด็ดแก้เกมสวนกระแสอัดงบกว่า 100 ล้าน คว้า 2 พระนางชื่อดังแห่งปี โป๊ป-ธนวรรธน์ พี่หมื่น ของออเจ้า และ บี น้ำทิพย์ เมีย 2018 เป็นพรีเซ็นเตอร์ จัดหนักการตลาดแรงทิ้งท้ายปี มั่นใจกระตุ้นยอดพุ่งเบอร์หนึ่งตลาดสินค้าสกินแคร์
นางสาวศิริรัตน์ กิจพ่อค้า ประธานกรรมการ บริษัท มานา เนเจอร์อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจด้านความงาม ภายใต้แบรนด์ “MANA” ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากข้าวสาเกญี่ปุ่น บุกตลาดสกินแคร์ที่กำลังขยายตัวอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทนขาย และช่องทางออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง ปัจจุบันยังได้สองนักแสดงชื่อดังระดับประเทศมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เจาะตลาดคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ มานาชูจุดแข็งของแบรนด์ด้วยการเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่จากข้าวสาเกญี่ปุ่นแต่เพียงผู้เดียวที่ได้การรับรองจากสากล มีผลิตภัณฑ์ คุณภาพ ออกมาสู่ตลาดแล้วมากมาย อาทิ สบู่ข้าวสาเก ดีท็อกซ์, มาสก์ข้าวสาเกมานา, CC Body Serum สาเก ซากุระ และ Body Serum ข้าวสาเก โดยไฮไลต์เด็ดสุดต้องยกให้ 2 ผลิตภัณฑ์ตัวชูโรง แคปซูล เซรั่ม ข้าวสาเก Sake Rice Capsule Serum นวัตกรรมหนึ่งเดียว เพื่อผิว“ขาวใส นุ่มฟู เด้งเด็ก” กักเก็บความชุ่มชื่นใต้เซลล์ผิวได้ยาวนานถึง 30 ชั่วโมง ที่ได้เมีย 2018 บี-นำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์การันตีคุณภาพ และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ต้องจับตามอง คือ ครีมกันแดดข้าวสาเก เนื้อใยไหม บาง เบา สบายผิว ควบคุมความมัน 24 ชม. โดยได้พระเอกมาดเท่ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาด 7 ชนิด เจาะตลาดแมส แบ่งเป็นผู้หญิง 80% และผู้ชาย 20% โดยการตลาดจะเน้นออนไลน์สัดส่วน 70% และออนไลน์ 30% โดยในปี 2562 เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 4-5 ตัว เป็นสินค้ากลุ่มอาหารเสริม เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สำหรับช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้นับว่าช่วงไฮซีซั่นของการจำหน่ายสินค้า บริษัทเตรียมจัดทำเป็นของขวัญปีใหม่จำหน่ายกับลูกค้า
ผู้บริหารสาว กล่าวต่อว่า ด้านตลาดต่างประเทศปัจจุบันได้ส่งสินค้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน และ CLMV รวมไปถึงยุโรป อเมริกา และจีน แนวโน้มทุกตลาดขยายตัวดีมาก ปีหน้าจะเน้นหนักบุกตลาดจีน โดยที่ผ่านมาได้ทุ่มงบการตลาดทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 ล้านบาท ปีหน้าจะทุ่มงบการตลาดมากขึ้นกว่านี้ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ด้านการตลาดออฟไลน์ก็จะมุ่งเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขาย ผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีมากถึง 4 หมื่นราย ในไทยและต่างประเทศ
สำหรับยอดขายปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท จากปี2560 มียอดขายเพียง 300 ล้านบาท และแผนระยะยาวภายใน 3-5 ปี จะนำบริษัทเข้าไประดมทุนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนในการขยายธุรกิจ หากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีการออกสินค้าตัวใหม่มากขึ้น จะทำให้บริษัทมีรายได้ 3,000-5,000 ล้านบาท
“มองว่าตลาดสกินแคร์ในประเทศไทย ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศจะไม่ขยายตัวมากขึ้น แต่กลุ่มที่รักความสวยงาม หันมาดูแลใส่บุคลิกภาพตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ในตลาดผลิตภัณฑ์ความงามที่มีมูลค่าตลาดรวมถึง 57,000 ล้านบาท/ปี โดยมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะมีคุณภาพ และมีความแตกต่าง เป็นจุดขายทางการตลาดที่สำคัญ ช่วยให้ผลประกอบการในปี 2561 เติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางสาวศิริรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดในปี 2562 คาดว่าจะยังคงดีต่อเนื่องจากปัจจัยบวกเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น ส่วนแผนงานของบริษัทจะยังคงเน้นการทำตลาดออนไลน์ ผ่านตัวแทนขาย และอาจจะเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในอนาคตอาจเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อสินค้าเซ็กเมนต์ใหม่ๆ