"โอบามาแคร์" ปฏิวัตระบบคุ้มครองสุขภาพอเมริกัน

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556



ตลาดการให้บริการคุ้มครองสุขภาพในสังคมอเมริกันกำลังก้าว เข้าสู่ "จุดเปลี่ยน" ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อ กฎหมายว่าด้วยความคุ้มครองสุขภาพ ซึ่งเป็นผลงานการผลักดันของประธานาธิบดี บารัค โอบามา มีผลใช้บังคับ และบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาพากันขานรับด้วย การประกาศยกเลิกการให้ความคุ้มครอง สุขภาพแก่พนักงานหลังเกษียณอายุ

ข้อมูลการสำรวจของ "ทาวเวอร์สวัตสันแอนด์โค" ระบุชัดเจนว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะยกเลิกโครงการคุ้มครองสุขภาพหลังเกษียณของพนักงาน เนื่องจากเห็นว่ามีโครงการคุ้มครองสุขภาพของรัฐบาลตามกฎหมายออกมารองรับเอาไว้แล้ว โดยคาดหมายว่าน่าจะมีสัดส่วนของกิจการร้อยละ 44 ตัดสินใจยกเลิกโครงการคุ้มครองสุขภาพพนักงานหลังเกษียณอายุภายใน 2 ปีนี้

ล่าสุด บริษัทเยนเนอรัลอีเล็คทริค หรือ "ยีอี" และไอบีเอ็ม ตลอดจนค่ายไทม์วอร์เนอร์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้แจ้งยกเลิกโครงการคุ้มครองสุขภาพ หลังเกษียณให้พนักงานรับทราบแล้ว ขณะที่ค่ายยูพีเอส ซึ่งเป็นกิจการให้บริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ รวมทั้งค่ายแคตเตอร์พิลลาร์ และดูปองท์ ก็แสดงท่าทีชัดเจนที่จะยกเลิกโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ลง เช่นกัน

ปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะอุบัติขึ้นในระบบคุ้มครองสุขภาพของสหรัฐอเมริกา โดยได้รับอิทธิพลจากการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสุขภาพฉบับที่ถูกเรียกขานกันว่า "โอบาม่าแคร์" ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าคุณภาพความคุ้มครองสุขภาพของบุคคลสูงอายุที่เคยอยู่ภายใต้โครงการคุ้มครองสุขภาพของบริษัท ซึ่งเคยปฏิบัติงานจนครบเกษียณอายุมีความโน้มเอียงที่จะแย่ลง เมื่อต้องไปอยู่ภายใต้โครงการของรัฐบาล และบุคคลสูงอายุเหล่านั้นอาจจะต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น หากต้องการได้รับความคุ้มครองที่ดีดังเดิม

รูปลักษณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นใน ระบบคุ้มครองสุขภาพซึ่งจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแก่ พนักงานลูกจ้างทั้งหลายในการซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม แต่ในทางตรงกันข้ามสำหรับธุรกิจให้บริการคุ้มครองสุขภาพแล้วกลับเป็นโอกาสดีที่จะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น ในการออกแบบความคุ้มครองที่สอดคล้องกับความต้องการเพื่อขายแก่ผู้ประสงค์จะซื้อบริการความคุ้มครองเพิ่มเติม

คู่ขนานไปกับจุดเปลี่ยนด้านการคุ้มครองสุขภาพในสังคมอเมริกัน ได้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงรสนิยมการเสพสารเสพติดที่ถูกกฎหมาย จากบุหรี่ดั้งเดิมทั่วไป ไปสู่บุหรี่ไฟฟ้า โดยหลงเข้าใจไปว่ามีพิษภัยต่อสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป และเป็นทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่ที่มีความประสงค์จะเลิกสูบบุหรี่ ทั้งที่บุคลากรทางการแพทย์ยังไม่มีใครกล้ายืนยันในความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ว่าดีต่อสุขภาพมากกว่าบุหรี่ทั่วไป และไม่กล้ารับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็น "เวชภัณฑ์"

ข้อมูลล่าสุดของศูนย์ควบคุมโรคและรายงานการสำรวจตามโครงการป้องกันเยาวชนจากภัยบุหรี่บ่งชี้ว่านักเรียนในสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มที่จะหันไปนิยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น โดยพิจารณาจากจำนวนนักเรียนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2554 มีเพียงร้อยละ 4.7 ขยับขึ้นไปเป็นร้อยละ 10 ในปี 2555

"ทอม ฟรายเดน" ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรค ถึงกับออกปากว่ากระแสนิยมของนักเรียนที่มีต่อบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่น่าห่วงใยอย่างยิ่ง เนื่องจากมีโอกาสเหวี่ยงจากบุหรี่ไฟฟ้า ไปหาบุหรี่ทั่วไปได้ง่าย

นอกจากนี้ ในฝรั่งเศสก็มีรายงานว่าจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำมีปริมาณสูงถึง 1 ล้านราย และในการวิเคราะห์บุหรี่ไฟฟ้าอย่างละเอียดยังพบว่าในบุหรี่ไฟฟ้าบางชนิด มีสารพิษร้ายแรงกว่าบุหรี่ทั่วไป และมีปริมาณนิโคติน สูงกว่าที่แสดงไว้บนฉลาก

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลด้านการตลาดของ "เวลลส์ฟาร์โก้แอนด์โค" พยากรณ์ว่ามูลค่าการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจากประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 62,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 310,000 ล้านบาทในปี 2560 หรือภายใน 4 ปีนับจากนี้

บุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ไฟแช็ค หรือบุหรี่ไฟฟ้า ล้วนบั่นทอนทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพฐานะการเงินทั้งสิ้น


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ