ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฮ่องกงที่เคยเฟื่องฟูฟู่ฟ่า กำลังเกิดอาการ สะลึมสะลืออย่างหนักหนาสาหัสถึง ขั้นเหล่าผู้ประกอบการต้องงัดไม้เด็ดออกมาตะลุมบอนกันอย่างเมามัน

4 ค่ายยักษ์ในยุทธจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในฮ่องกง คือ เฉิงกงโฮลดิ้ง ของเจ้าสัว ลี กา ชิง มหาเศรษฐีอันดับ 1 แห่งฮ่องกง และค่ายซันฮุงไคพร็อพ เพอร์ตี้ ค่ายนิวเวิร์ลดีเวลลอปเมนท์ ค่ายเฮนเดอร์สันแลนด์ดีเวลลอปเมนท์ ล้วนมีผลประกอบการที่ย่ำแย่รุนแรงที่สุดในรอบ 17 ปี ด้วยยอดรายได้ที่ทรุดฮวบลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 39

เหตุปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงมีสภาพซึมเซาเหงาหงอยอย่างรุนแรง มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ

ประการแรก คืออิทธิพลจากมาตรการของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นสกัดการก่อตัวของฟองสบู่ในภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ เอาไว้ ซึ่งถูกใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 แต่เพิ่งมาออกฤทธิ์รุนแรงชัดเจนในปีนี้

ประการที่สอง คือกระแสเคลื่อนย้ายการลงทุน จากฮ่องกงเข้าไปในประเทศจีน ทำให้พื้นที่อาคารพักอาศัย ตลอดจนอาคารสำนักงานถูกทิ้งร้างมหาศาล

ภายใต้ความเลวร้ายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายจำเป็นต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มยอดขาย สร้างรายได้ เพื่อเอาตัวรอดกันอุตลุด

ค่ายเฉิงกงโฮลดิ้ง ระเบิดสงครามการตลาดในสมรภูมิธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการตัดใจยกที่จอดรถมูลค่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,200,000 บาทให้ฟรีแก่ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมพักอาศัย ขณะที่ค่ายอื่นๆ อีกหลายต่อหลายค่ายประกาศทุบราคาขายลงร้อยละ 10 พร้อมกับยินดีแบกรับภาระภาษีร้อยละ 3.75 แทนผู้ซื้อ

คู่ขนานกับการทำสงครามการตลาดของผู้ประกอบการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฮ่องกง บรรดาผู้ประกอบการขนาดใหญ่ทั้งหลายที่มีขีดความสามารถขยายการลงทุน ต่างเคลื่อนย้ายการลงทุนรุกเข้าไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองจีน เพื่อแสวงหาโอกาสสร้างรายได้ ทำกำไรที่ดีกว่าในเมืองจีน มาชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นในฮ่องกง

ปฏิกิริยาการลงทุนในลักษณะนี้ ทำให้อัตราค่าเช่าพื้นที่ และราคาที่ดินในเมืองจีนมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีการขยับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาแล้วถึง 6 เดือน

ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน ดูจะเป็นไปในทำนองเดียวกับความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นไปอย่างร้อนแรง ด้วยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่กำลังเตรียมการแจ้งเกิดจำนวนมาก

สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีแห่งมาเลเซีย ถึงกับต้องออกรายงานเตือนภัยวิกฤติฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะอุบัติขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ หากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างไม่บันยะบันยัง

ธนาคารซีไอเอ็มบีทำนายว่าในอีกไม่เกิน 3 ปีจากนี้จะเกิดภาวะอสังหาริมทรัพย์ล้นตลาดขนาดมหาศาล และฉุดให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เสื่อมค่าลง แล้วไปส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ก่อให้เกิด "หนี้เน่า" ก้อนมหึมาในระบบสถาบันการเงิน และท้ายที่สุดจะเหนี่ยวนำให้เกิดวิกฤติในระบบเศรษฐกิจโดยรวม