นายวิลเลี่ยม ไฮเน็ค ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเราประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร , ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น โดย ปัจจุบันไมเนอร์ กรุ๊ป มีโรงแรมและรีสอร์ทจำนวน 549 แห่ง ร้านอาหาร 2,130 สาขา และร้านค้าและจุดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและเครื่องใช้ในบ้านกว่า 429 แห่ง ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย และขณะนี้บริษัทมีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 170,000 ล้านบาท หรือ 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีพนักงานมากกว่า 80,000 คนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของการดำเนินธุรกิจ บริษัทเราประกาศวางแผนเดินหน้าธุรกิจภายใต้ 3 ธุรกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจากนี้ไปอีกระยะเวาลา 5 ปี นับจากปี 2560-2565 ผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การเติบโตธุรกิจผ่านเครือข่ายแบรนด์ 2.การเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพของทรัพย์สิน และ 3.การลงทุนและเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้ให้เติบโตกว่า 15-20% ต่อปี ด้วยงบลงทุนที่วางไว้ต่อปีราว 4-5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
โดยเมื่อล่าสุดนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ ซึ่งเบื้องต้นมีการใช้เงินลงทุน 40,000-50,000 ล้านบาท ด้วยการเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 45 ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรม ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มาดริด โดยเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปดำเนินธุรกิจโรงแรมกว่า 380 แห่ง และมีจำนวนห้องพักรวมเกือบ 60,000 ห้องภายใต้แบรนด์ NH Collection, NH Hotel, nhow และ Hesperia ใน 30 ประเทศ ในทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา โดยถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของไมเนอร์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
อย่างไรก็ตาม แต่ดีลนี้ยังไม่ได้สิ้นสุด ไมเนอร์ยังเดินหน้าเจรจาซื้อหุ้นเพิ่ม ที่คาดไว้คือสัดส่วน 51-55% หรือคิดเป็นมูลค่า 48,000 ล้านบาท แต่ถ้าซื้อเต็ม 100% อาจจะใช้เงินลงทุนถึง 90,000 ล้านบาทเลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าได้ธุรกิจจาก NH Hotel Group มาเติมพอร์ต ก็ทำให้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 70% ได้ในปีหน้า
ทั้งนี้ สำหรับผลประกอบการปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 60,000 ล้านบาท มาจากธุรกิจโรงแรม 50% ร้านอาหาร 30-40% และธุรกิจจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ 7% แต่ในครึ่งปีแรกของปีนี้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นมา 55% จากการเข้าซื้อกิจการเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ธุรกิจร้านอาหาร เหลือ 38% และสินค้าไลฟ์สไตล์ 7%
