สภาคองเกรสสหรัฐฯ ไม่ผ่านงบประมาณ ส่งผลรัฐบาลกลางเงิน ขาดมือต้องปิดสำนักงาน เริ่มส่งผลกระทบหนักกับหน่วยงานความมั่นคง เกือบ 7 แสนคน ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งต้องปิดตัวเพราะไม่มีคนทำงาน บริษัทจีนต้องคืนเงินลูกทัวร์ "บารัค โอบามา" งดเยือนมาเลเซีย เพื่อแก้ปัญหาภายในด้านขุนคลังมะกัน รับเจอทางตันหนี้ชนเพดาน ไม่เกินกลาง ต.ค.ถังแตกแน่นอน ด้าน ทั่วโลกกังวลหวั่นกระทบเศรษฐกิจโลก

จากการที่ สภาคองเกรส ไม่อนุมัติงบประมาณให้รัฐบาลกลาง จนทำให้ต้องมีการปิดสำนักงานเกือบทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา พนักงานของรัฐที่จำเป็นต้อง หยุดงานชั่วคราวเนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงิน จ่ายค่าแรงให้ ซึ่งคาดว่ามีไม่น้อยกว่า 7 แสน คนในขณะนี้ นายเจมส์ แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติของ สหรัฐฯ แถลงต่อวุฒิสภาว่า เจ้าหน้าที่ด้าน ข่าวกรองต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากไม่มี งบประมาณให้ถึง 70% จะส่งผลเสียต่อศักยภาพในการปกป้องประเทศให้ปลอดภัย จากการก่อการร้าย และไม่เพียงแต่สหรัฐฯ เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบไปทั่วโลกด้วย

ขณะที่พลเอกคีธ อเล็กซานเดอร์ ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองด้าน อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์หลายพันคนจำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจาก ไม่มีงบประมาณเช่นกัน จะทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างแน่นอน

ขณะที่นักท่องเที่ยวหลายร้อยคนที่ พักอยู่ในอุทยานแห่งชาติสหรัฐฯ เช่น โยเซมิตีและแกรนด์แคนยอนได้รับแจ้งเตือน ให้ต้องออกจากสถานที่ภายในวันนี้ ด้านนักท่องเที่ยวชาวจีนในสหรัฐฯ แสดงความ ผิดหวังที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในสหรัฐฯ ถึง 401 แห่ง ต้องปิดบริการอันเนื่องมาจากปัญหางบประมาณของสหรัฐฯ ส่งผลให้บริษัททัวร์ของจีนต้องเจรจาขอเงินที่ลูกค้าจ่ายล่วงหน้าให้กับบริษัททัวร์ในสหรัฐฯ คืน และหาทางเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวใหม่ทั้งที่ลูกค้าเหล่านั้นได้จ่ายเงินค่าจองห้องพักโรงแรมและตั๋วเครื่องบินแล้ว

ด้าน แจ๊ค หลิว รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงได้งัดใช้แผนการ ต่างๆ เพื่อรักษาระดับหนี้ของรัฐบาลไม่ให้ สูงเกินกว่าเพดานที่กฎหมายกำหนดไปทั้ง หมดแล้ว ถึงกระนั้นคาดว่ามาตรการพิเศษ ที่เข็นออกมาใช้จะช่วยต่อลมหายใจให้กับรัฐบาลต่อไปได้อีกไม่นานมากนัก โดยประเมินว่าหนี้ชนระดับเพดานที่กฎหมายกำหนด 16.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภาย ในไม่เกินในวันที่ 17 ต.ค.นี้ โดยรัฐบาลมีเงินสดอยู่ในมือแค่ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงกลางเดือนต.ค.นี้ รวมกับรายได้อีกเล็กน้อย ซึ่งส่งผลให้คาดการณ์ได้ยากว่าจะขาดเงินเมื่อไหร่ และเสี่ยงทำให้ประเทศ เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้

ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตาและแสดง ความกังวล โดย นางคริสเตียน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการ ไอเอ็มเอฟ กล่าวหากสภา คองเกรสไม่ยอมให้รัฐบาลเพิ่มเพดาน หนี้เพื่อ นำเงินมาใช้จ่ายในระหว่างที่ปัญหางบประมาณไม่ผ่านสภายังไม่คลี่คลาย ก็จะทำให้เรื่องเลวร้ายนี้รุนแรงยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า ดังนั้น การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตจนทำให้เกิดปัญหาขึ้น ควรหาทางยุติลงให้ได้โดยเร็วที่ สุด การชัตดาวน์ของรัฐบาล ก็หนักพอแล้ว แต่การที่ไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้จะเลวร้ายกว่ามาก และอาจจะสร้างความเสียหาย มหาศาลไม่เพียงแต่ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลกทั้งหมดด้วย

ส่วนที่ยุโรปซึ่งยังเพิ่งเริ่มฟื้นจากวิกฤติหนี้และภาวะถดถอย มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า หาก หน่วยงานรัฐบาลของอเมริกาปิดทำการเป็นเวลานาน จะถือเป็นความเสี่ยงไม่เพียง สำหรับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบไปยังแผน การเดินทางเยือนหลายประเทศในเอเชียของประธานาธิบดี บารัค โอบามา แล้ว เพราะล่าสุดนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของ มาเลเซีย เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยืน ยันผ่านทางโทรศัพท์ว่าจะขอยกเลิกเดินทางมาเยือนมาเลเซียในวันที่ 11 ต.ค.นี้เป็น ที่แน่นอนแล้ว โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจการแก้ปัญหาด้านการคลังในประเทศ

ขณะเดียวกัน ยังทำให้เกิดข้อสงสัย ขึ้นว่า โอบามา ยังจะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ในวันที่ 7-8 ต.ค. และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย ตะวันออกที่บรูไน ในวันที่ 9-10 ต.ค.ได้หรือไม่

สำหรับเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องประสบวิกฤติงบประมาณในครั้งนี้มาจากการที่สมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกัน ซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาไม่ยอมรับในกฎหมายหลักประกันสุขภาพของประธานาธิบดี บารัค โอบามา หรือ "โอบามาแคร์" (obamacare) แต่ประธานาธิบดีโอบามา ยืนกรานที่จะเดินหน้าในกฎหมายต่อไป ทำให้ ส.ส.รีพับ ลิกันตอบโต้ด้วยการไม่ผ่านกฎหมายขยาย เพดานหนี้ให้กับรัฐบาล

กฎหมายหลักประกันสุขภาพ หรือโอบามาแคร์ ได้ผ่านเป็นกฎหมายไปแล้ว และมีกำหนดบังคับใช้ในปีงบประมาณนี้ แต่ ส.ส.รีพับลิกันได้มีมติเลื่อนกฎหมายดังกล่าวออกไป 1 ปี

ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าว กำหนดให้ชาวอเมริกันทุกคนซื้อประกันสุขภาพจากเอกชนโดยที่รัฐจะเป็นผู้อุดหนุนให้ส่วนหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาชาวอเมริกันไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพทุกคน

อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวนั้น ถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงการดำเนินธุรกิจที่เสรีจากภาครัฐ อีกทั้งเงินที่ใช้อุดหนุนจากภาครัฐนั้นยังจะทำให้รัฐบาลประสบภาวะงบประมาณขาดดุลพอกพูนขึ้นไปอีก โดยระยะ 10 ปีแรกของโครงการ นี้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินมหาศาลถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ