“ลิ้นจี่” ถือเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ด้วยรสชาติที่หวานหอม อมเปรี้ยวเล็กน้อย อร่อย ชื่นใจ  พร้อมเนื้อแน่นๆ ที่มีให้ซื้อรับประทานในบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น  โดยปัจจุบันแหล่งปลูกลิ้นจี่ในประเทศไทยไม่ได้มีเฉพาะทางภาคเหนือตอนบนที่มีอากาศหนาวเย็นเหมาะแก่การปลูกเท่านั้น แต่ยังสามารถกระจายพันธุ์ไปปลูกในบริเวณอื่นบางแห่งทั่วประเทศที่มีสภาพอากาศตอบสนองต่อการปลูกอย่างแถบพื้นที่ภาคกลางที่ราบต่ำ ภาคตะวันออก และ ภาคอีสาน

ทั้งนี้  สำหรับลิ้นจี่นั้นเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยให้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุนจึงถือว่าเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยที่สามารถนำผลผลิตที่ได้มาจำหน่ายในรูปของผลไม้สดและผลไม้แปรรูป อีกทั้งยังนำส่งออกต่างประเทศได้ด้วยเช่นกัน  ปัจจุบันนี้ลิ้นจี่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความหลากหลายขึ้นเรื่อยๆจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว  ดังนั้น ทางทีมงาน ”สยามธุรกิจ” จึงได้เดินทางไปบุกชมสวนลิ้นจี่และได้ไปพูดคุยถึงเทคนิควิธีในการปลูกกับเจ้าของสวนกันถึงที่โคราชกันเลย

โดย อมร ชัยศรี เจ้าของสวนลิ้นจี่ จังหวัดนครราชสีมา ได้พูดคุยกับทาง “ทีมสยามธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันมีต้นลิ้นจี่ จำนวน 150 ต้น ในพื้นที่ 33 ไร่ และจากการปลูกลิ้นจี่มานั้น การดูแลสวนลิ้นจี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต้องศึกษาและเข้าใจธรรมชาติของลิ้นจี่ให้ได้ เพราะลิ้นจี่มีศัตรูพืชอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคใบจุดสนิม หรือจุดสาหร่าย, โรคราสนิม, โรคลำต้นและกิ่งแห้ง, โรคราดำ, โรคเปลือกผลไหม้, โรคผลแตก, โรคผลร่วง, โรคราน้ำค้างเทียม หรือโรคผลไหม้สีน้ำตาล ทั้งนี้ ยังมีหนอนเจาะขั้วผล ,หนอนชอนใบ และหนอนเจาะกิ่ง ซึ่งล้วนเป็นศัตรูที่อันตรายทั้งสิ้น

“การกำจัดศัตรูของลิ้นจี่นั้น ถ้าต้องการกำจัดอย่างรวดเร็วก็ต้องใช้เคมี ซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้บริโภคเป็นอย่างมาก จึงต้องการหาวิธีที่ปลอดภัยต่อตัวเองและผู้บริโภค และสิ่งที่ดีที่สุดก็คงต้องเป็นปุ๋ยอินทรีย์ แต่การหาปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชคดีที่มีทีมของสยามธุรกิจลงพื้นที่มาดูสวนลิ้นจี่ และได้แนะนำให้รู้จักปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพคุณภาพสูง โชบุ พลัส และอาหารเสริมพืชฉีดพ้นทางใบ ซุปเปอร์ริชชี่โกรว์ และซุปเปอร์ริชชี่เพาเวอร์ จึงได้ทดลองใช้ ซึ่งก็ได้ผลเกินคาดและใช้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา”

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจมานานกว่า 4 ปี ซึ่งได้ผลผลิตที่ดีมาก และลิ้นจี่ที่สวนจะออกผลผลิตก่อนสวนอื่นในทุกๆ ปี เพราะว่าได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจอย่างถูกวิธี ที่สำคัญเมื่อใช้แล้วศัตรูพืชต่างๆ ได้หมดไป โดยก่อนหน้านี้จะเจอปัญหาหนอนเจาะขั้ว เมื่อลูกค้ารับประทานก็ไม่ประทับใจ แต่ปัจจุบันไม่เจอปัญหานี้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น และใช้เพียงแค่ปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจเต็มระบบ 100%

 “ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก เพราะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจแล้วลูกลิ้นจี่จะออกก่อนเจ้าอื่น คือออกในช่วงเดือนมีนาคม และสามารถขายได้ในช่วงเมษายน ที่สำคัญในจำนวน 1 ต้นยังออกลูกได้ถึง 2 รุ่น และบางต้นจะออกถึง 3 และ 4 รุ่น ซึ่งส่งผลให้จำนวน 1 ต้น สามารถขายรุ่นแรกได้ประมาณ 700 กิโลกรัม หรือประมาณ 150,000 บาท และเชื่อว่ารุ่นที่ 2 จะตามมาอีก 700 กิโลกรัม ตรงนี้จะสร้างรายได้ให้ครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญต้นทุนปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจยังถูกกว่าปุ๋ยเคมีด้วย ตรงนี้ช่วยลดต้นทุนให้ครอบครัวได้เป็นอย่างดีทีเดียว”

สำหรับราคาจำหน่ายนั้น ทางสวนจะขายในราคากิโลกรัมละ 150 บาท ซึ่งขายได้อย่างต่ำวันละ 300 กิโลกรัม เพราะลูกค้าได้รับประทานแล้วจะติดใจกลับมาซื้อใหม่ ทั้งนี้ ยังมีพ่อค้ามารับซื้อที่สวนและได้ทำการเหมารุ่นแรกไปแล้วในราคา 700,000 บาท เพราะพ่อค้าบอกว่า ลิ้นจี่สวย ลูกค้าทานแล้วชอบ ไม่มีหนอนที่ขั้ว รสหวาน กรอบ ไม่เหนียว ซึ่งต่างจากลิ้นจี่ตามตลาดทั่วไป

"การทำสวนลิ้นจี่ ก็ต้องคำนึงถึงผู้บริโภคด้วย ถ้าเกิดสวนนั้นใช้สารเคมีก็จะไม่ดีต่อตัวเองและผู้บริโภค สวนเราจึงหันมาใช้อินทรีย์ 100% และจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของสยามธุรกิจ ยิ่งได้ผลดี ผลผลิตดี ต้นทุนลด รายได้เพิ่ม ที่สำคัญเป็นผลไม้ปลอดสารพิษให้ผู้บริโภคได้รับประทานด้วย จึงมีความประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์ของสยามธุรกิจเป็นอย่างมาก และจากการใช้มาแล้ว 4 ปี ก็จะไม่หันไปใช้ยี่ห้ออื่นแล้ว จึงอยากเชิญชวนชาวเกษตรทดลองใช้ดู เพราะทีมผู้บริหารของสยามธุรกิจมีแต่ความจริงใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบเลย และถ้าหากมีชาวเกษตรรายใดอยากเข้ามาชมสวนก็สามารถติดต่อมาได้ที่ เบอร์ 08-7255-8853 ยินดีให้คำปรึกษาทุกประการ”