“นักธุรกิจความงามในไทย” ไม่หวั่น พร้อมเข้าเกียร์ต่อยอดสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“นักธุรกิจความงามในไทย”  ไม่หวั่น   พร้อมเข้าเกียร์ต่อยอดสินค้าไทยสู่ตลาดโลก


บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย)  ชี้  ภาพรวมตลาดความงามในไทยยังโตต่อเนื่อง  คงรั้งผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง  เผยผลตัวเลขส่งออกโตต่อเนื่อง 4.5 %  มูลค่าอยู่ที่  2.5 แสนล้านบาท มั่นใจศักยภาพธุรกิจความงามไทยมีโอกาสรุ่งนำสินค้าสู่ตลาดโลกได้  ส่งผล “เหล่าบรรดาผู้ประกอบการ” หน้าเก่า หน้าใหม่ ตบเท้า พร้อมใจอัดเม็ดเงินลงทุนจำนวนไม่น้อยลงสู้ศึกสมรภูมิรบตลาดนี้กันจำนวนมาก เพื่อหวังแย่งชิงสัดส่วนตลาดและขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

นาย เอ็มกันดิ กรรมการผู้จัดการกลุ่ม (ธุรกิจอาเซียน) บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด และ รองประธาน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดความงามของอาเซียน ประเทศไทยถือได้ว่ามีศักยภาพ และเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โดยในปีที่ผ่านมา 2560 ตลาดรวมเครื่องสำอางส่งออกมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท และตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 4.5% ในมูลค่าตลาดความงามของอาเซียนอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดส่งออกคู่แข่งหลักคือ ญี่ปุ่น 21% และอินโดนีเซีย 9% ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย 8% เท่ากัน ออสเตรเลีย 6% กัมพูชา 5% จีน อังกฤษและเมียนมาร์ 4% เท่ากัน และประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป มีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่ 26%

และจากตัวเลขการส่งออกจากประเทศไทย (สถิติ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2018 โดย DITPและTCMA) ประมาณ 2,466 ล้านเหรียญสหรัฐ / 88,684 ล้านบาท (35.0949)และสัดส่วนการส่งออกเครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 30.49%, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 15.78%, และอื่นๆ 53.73% โดยมีการซื้อขายกันในประเทศประมาณ 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (2017)/ 168,000 ล้านบาทและมูลค่าตลาดรวม (สถิติปี 2560)คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโต 8 % ในปี 2560 โดยแบ่งเป็นส่งออก 1.21 แสนล้าน และในประเทศ 1.81 แสนล้านบาท

ดังนั้น  เราในฐานะบริษัทผู้นำตลาดในด้านการจัดงานจัดแสดงสินค้าความงาม และสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ปีนี้จึงได้จัดงาน “ASEANbeauty2018” ขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา ที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดธุรกิจกับผู้ประกอบการความงามและสุขภาพของไทย ด้วยผู้ซื้อที่มีคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งยังร่วมอัพเดทเทรนด์การตลาดจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านความงามและสุขภาพ และยังพบโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ รวมไปถึงร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมพบกับบูธผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพชั้นนำจากหลายประเทศ และนอกจากนี้เรายังมีโครงการจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ให้เติบโตและต่อยอดสู่ตลาดต่างประเทศ  ซึ่งประเมินว่าในงาน ดังกล่าวจะมีเงินเดินสะพัดมากกว่า 1,000 ล้านบาท

ทางด้านนางสาวอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า เนื่องจากตลาดความงามที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นการจัดงานในปีนี้เราได้มีการขยายพื้นที่การจัดงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 350 บูธ และผู้ซื้อที่มีคุณภาพจาก 50 ประเทศ โดยแบ่งเป็น 50 % ผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศ 20 ประเทศทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน อินเดีย สิงคโปร์เบลเยี่ยม และ ฮังการี  เป็นต้น

ทั้งนี้  จากปัจจัยบวกภาพรวมตลาดความในอาเซียน ยิ่งโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแนวโน้มจะเติบได้ต่อไปอย่างดีและต่อเนื่อง  ประกอบกับมีการจัดงานแสดงสินค้าความงามและสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้สินค้าแบรนด์ความงามของผู้ประกอบการไทยได้ไปออกโชว์ แลกเปลี่ยนการทำธุรกิจกับต่างประเทศด้วยนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลให้เห็นว่าช่องทางการตาดในกลุ่มสินค้าความงามและสุขภาพในไทยยังมีโอกาสอีกมาก จึงส่งผลให้มีเหล่าบรรดาผู้ประกอบการหน้าเก่า หน้าใหม่มากมายยอมลงทุนเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อมาทำธุรกิจนี้กัน 

อย่างเช่น  ดร.อภิรดี โฆษิตฐากุล ประธานกรรมการ บริษัท บอร์นทร้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามสารสกัดจากธรรมชาติ เจ้าของแบรนด์ “V-Nature” ผลิตภัณฑ์ดูแลความงามระดับคุณภาพ เผยว่า  เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามระดับแถวหน้าของวงการ โดยมีจุดเด่นที่การใช้สารสกัดจากธรรมชาติจากทั่วทุกมุมโลก มาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ใส่ใจในทุกมาตรฐาน บวกกับประสบการณ์การทำงานนานกว่า 20 ปี ทำให้ไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับในประเทศไทยเท่านั้น แต่ “บอร์นทร้าส์” ยังได้ส่งต่อความงามสุข ความสวยงาม และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเชีย  ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเชีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรต โอมาน แอฟริกาใต้ ซาอุดิอาระเบีย   ส่วนทวีปอเมริกา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา  ทวีปยุโรป ได้แก่ อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส ฯลฯ ซึ่งปัจจุบัน แบรนด์วีเนเชอร์ก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ๆ มาตอบโจทย์ผู้บริโภคอยู่เสมอ ทั้งในกลุ่มผิวหน้า, กลุ่มผิวกาย รวมถึงกลุ่ม Make up รวมกว่า 18 ชนิด

ล่าสุด  บริษัทได้ทุ่มงบราว 60 ล้านบาท ลุยตลาดความงามปี 2018 พร้อมเปิดตัว “V-Nature Infinity White Cream” หรือ “ครีมเจ้าหญิง” เจาะกลุ่มสาววัยรุ่น จนถึงวัยทำงาน ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผิวหน้า โดยได้นำ “พีค ภัทรศยา” ดาราสาวหน้าใสเป็นพรีเซ็นเตอร์เจ้าหญิงวีเนเชอร์  โดยภายในปีแรกตั้งเป้ารายได้ราว 400 ล้านบาทพร้อมตั้งเป้าก้าวขึ้นแท่นหนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ด้านความงามในไทยต่อไปในอนาคต

บริษัทฯ ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศ เพราะเห็นว่าสินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์ในไทยมีความต้องการค่อนข้างสูง ซึ่งเราก็ได้รับคำชมจากลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราว่ามีคุณภาพดี ราคาไม่แพง เราจึงเล็งเห็นว่าแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามในตลาดส่วนใหญ่แล้วยังไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร และยังสวนทางกับราคาที่แพงเกินจริงด้วย ทำให้เราตัดสินใจที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ “วีเนเชอร์ (V-Nature)” เพื่อที่จะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม สามารถมั่นใจในความปลอดภัยจากการผลิตที่ได้มาตรฐาน และยังเป็นการตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”

                ด้าน  นายพงศ์ธวัช จำเริญสรรพ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมย์เดย์เฮลท์แอนด์บิวตี้แคร์ จำกัด กล่าวถึงแผนการทำตลาดแบรนด์เมย์เดย์ ในปี 2561ว่า บริษัทฯจะเน้นไปที่การเปิดรับตัวแทนจำหน่ายร้านค้าทั่วประเทศ โดยกำหนดเป็นตัวแทนหลักของแต่ละจังหวัดๆละ 1 คน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์ฝึกอบรมให้กับตัวแทน เพื่อให้ผู้สนใจและต้องการทำธุรกิจสามารถติดต่อตัวแทนจังหวัดได้ ทั้งนี้ ผู้ที่มีหน้าร้านหรือร้านค้าของตนเองก็สามารถทำได้ ซึ่งในเบื้องต้นใช้งบลงทุนสินค้าเพียง 10,000 บาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ มาส์กพอกหน้า และเซรั่มบำรุงผิวหน้า เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ 4 รายการได้แก่ สบู่บำรุงผิวเมย์เดย์, โลชั่นบำรุงผิว, ครีมบำรุงผิวหน้า และครีมกันแดด ซึ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการเปิดรับตัวแทนจำหน่ายร้านค้าจะเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายนนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯเตรียมแผนในการจัดโรดโชว์ออกบูธผลิตภัณฑ์ตามหัวเมืองใหญ่ คาดว่าจะเริ่มได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่แรก และหลังจากนั้นจะไปยังภาคอีสาน ซึ่งการจัดโรดโชว์จะเป็นการโปรโมทสินค้าและเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า รวมทั้งเน้นเรื่องการตอกย้ำในการสร้างแบรนด์คือการสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รู้จักผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสารธรรมชาติอย่างถั่วหรั่งผลงานการวิจัยของผศ.ดร.กรวินท์วิชญ์ บุญพิสุทธินันท์ นักวิจัยและนักวิชาการ จากวิทยาลัยแพทย์แผนไทย ที่ได้ส่งผลงานวิจัยดังกล่าวเข้าร่วมประกวดในงาน World Innovation Contest, WiCในปี 2016 ที่เกาหลีใต้

ด้าน นางเรืองระวี ฉัตรชัยรัตน์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เมย์เดย์เฮลท์แอนด์บิวตี้แคร์ จำกัด กล่าวเสริมว่าบริษัทฯกำลังเตรียมแผนในการจัดอบรมให้ความรู้ในด้านสินค้ารวมทั้งการดูแลผิวพรรณแก่สมาชิกและตัวแทนจำหน่ายร้านค้าทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายมีความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าว่ามีจุดเด่นและแตกต่างจากสินค้าอื่นๆอย่างไร ในเบื้องต้นจะมีการจัดอบรมที่สำนักงานใหญ่ที่จังหวัดสมุทรปราการก่อนในเร็วๆนี้ และต่อไปจะจัดอบรมตามหัวเมืองใหญ่นอกจากแผนการจัดอบรมแล้ว สิ่งที่บริษัทฯจะเน้นย้ำคือเมย์เดย์สามารถสร้างงานและสร้างอาชีพได้จริงๆ และลงทุนไม่สูงจนเกินไป ขณะเดียวกันบริษัทฯได้จัดทริปท่องเที่ยวและทองเป็นรางวัลให้กับตัวแทนจำหน่ายที่สั่งซื้อสินค้าครบ 50,000 บาท สามารถเลือกรับรางวัลเป็นทอง หรือจะไปท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือต่างประเทศ ซึ่งการจัดรางวัลเป็นทริปท่องเที่ยวและทอง ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่จะเป็นแรงจูงใจให้ตัวแทนจำหน่ายสมัครเข้ามาทำธุรกิจในปีนี้

 

 

 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ