รู้ว่าตัวเราคือใคร ตัวเราในที่นี้หมายถึง แบรนด์นั่นเอง ต้องรู้ว่าแบรนด์เราคืออะไร ยึดมั่นกับอะไร แล้วจะแทนด้วยคำว่าอะไร เพื่อความชัดเจนของแบรนด์และจุดเด่นที่เราต้องการดึงออกมานำเสนอ หรือการเลือกใช้สีเพื่อแทนตัวแบรนด์เช่น สีเขียว แทนในความหมายเป็นแบรนด์ที่รักษาสิ่งแวดล้อม
นำเสนอในสิ่งที่เชื่อ ต้องมีการคัดเลือกว่าจะนำเสนอสิ่งไหนและไม่นำเสนอสิ่งไหนโดยเลือกในสิ่งที่จะสะท้อนตัวตนของแบรนด์ออกมาได้ และเป็นจุดเด่นของสินค้า เพื่อให้ทุกอย่างนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพราะข้อสำคัญในการทำ Brand Story telling จะต้องมีความชัดเจนมากๆ หากนำเสนอไปแบบมั่วๆก็จะเป็นการ จับฉ่าย ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกสับสนและแบรนด์ไม่เป็นที่จดจำ
หา Emotional Connection ให้เจอ การเชื่องโยงด้วยความรู้สึกและอารมณ์กับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้แบรนด์เป็นที่รักมากเท่านั้น ในการสร้างความรู้สึกที่เชื่อมโยงกัน ถ้าแบรนด์สินค้าไหนสามารถสร้างจุดเชื่อมกับความรู้สึกเหล่านี้ได้แล้ว ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายกลายเป็นลูกค้าชั้นดีของแบรนด์ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงไม่แพ้กันคือความเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกันไป เพราะอย่างความรู้สึกอิสระไรการควบคุมอาจจะเหมาะกับแบรนด์เกี่ยวกับแฟชั่น ส่วนความรู้สึอบอุ่น มั่นคง อาจจะไปเหมาะกับธุรกิจด้วยการเงิน การลงทุน เป็นต้น
3 สิ่งนี้ ถือเป็นหลักการพื้นฐานในการที่จะทำ Brand Story telling เพื่อทำให้แบรนด์ มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความรู้สึกใกล้ชิดกันของแบรนด์กับผู้บริโภค แต่ในกลุ่มธุรกิต่างๆก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันไปในการทำและยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกันจึงต้องอาศัยข้อมูลและรายละเอียดปลีกย่อยที่มากกว่านี้ ซึ่งอาจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ลองมาที่งาน OEM MANUFACTURER EXPO 2018 จัดระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน 2561 ณ Hall 106 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ครั้งแรกของไทยที่เปิดโอกาสให้กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้ประกอบการ ได้แลกเปลี่ยนความรู้การทำธุรกิจทั้งเรื่อง แบรนด์ บรรจุภัณฑ์ แพ็คเกจ และด้านอื่นๆ อย่างครบวงจร