บริษัท พีพีที พลัส จำกัด ชี้ ตลาดคอลลาเจนในไทยไม่หวือหวา ส่ง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบรนด์ “คอลลี่” คอลลาเจน กระโดดลุยปักหมุดตลาดต่างประเทศ จีน-เวียตนาม เต็มสูบ แนวโน้มสร้างยอดเติบโตดีกว่าในไทย และ ปีนี้ เตรียมบุกตลาดอินโดนีเซีย ล่าสุด อัดงบ 100 ล้าน ขยายโรงงานผลิตรองรับการเติบโตในตลาดต่างประเทศ พร้อมลุยทำตลาดออนไลน์ และออฟไลน์ หวังดันยอดขายสิ้นปีนี้ตามเป้า
ถ้านับถอยหลังไปประมาณ 7 ปีก่อน สำหรับตลาดอาหารเสริมคอลลาเจน ทีเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดสำหรับผู้บริโภคที่รักสวยรักงามนั้น ซึ่งในสมัยนั้นคงมีไม่กี่แบรนด์ที่กล้าลงทุนทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในการลุยทำตลาดคอลลาเจนอย่างจริงจัง แต่คงไม่ใช่กับอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ “คอลลี่” ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์แรก ๆ ที่ในช่วงนั้นทุ่มทุนหนักมากในการรุกทำตลาดในการผลักดันแบรนด์ อย่างหนัก โดยเฉพาะการใช้พรีเซนเตอร์ดาราดัง ๆ ระดับตัวท๊อปในช่วงเวลานั้น ๆ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น เนย โชติกา วงศ์วิลาศ” “โดม ปกรณ์ ลัม” “ออม สุชาร์ มานะยิ่ง” และ “ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่” เป็นต้น
อีกทั้ง ยังเป็นแบรนด์อาหารเสริมที่เริ่มใช้กลยุทธ์ “Influencer Marketing” และ โดยการให้ดารา เซเลบริตี้ และเน็ตไอดอลคนดังบนโลกออนไลน์ต่างถ่ายรูปคู่สินค้า พร้อมกับโพสท์ลงบนอินสตาแกรม และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เพื่อเป็นการโปรโมท และสร้างกระแส โดยเริ่มจัดจำหน่ายสินค้าผ่านจากโลกออนไลน์แบบ 100 % เพื่อปูทางในการขยายเข้าสู่ช่องทางการขายอื่นๆ ต่อไป
และหลังจากถึงจุดอิ่มตัวของตลาดอาหารเสริมคอลลาเจนสำหรับในประเทศไทยที่ค่อนข้างนิ่งไม่เติบโตหวือหวาอย่างในช่วงแรก ๆ จึงทำให้ทางบริษัทต้องมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อทำการขยายตลาดไปยังในโซนเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศจีน กัมพูชา และพม่า เป็นต้น โดยไปลงทุนในรูปแบบของตัวแทนจัดจำหน่ายในแต่ละประเทศ จนล่าสุดความคืบหน้าของแผนการทำตลาดอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ “คอลลี่” ปีนี้จะเป็นอย่างไรนั้น
นายพีรพัฒน์ ลิขิตรัตน์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีพีที พลัส จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า คอลลี่คอลลาเจน (Colly Collagen ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดคอลลาเจนขยายตัวไปอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศปัจจัยบวกมาจากคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงหันมาดูแลตัวเอง แม้ว่าตลาดในไทยจะอยู่ในภาวะทรงตัวเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่ขยายตัวมากนัก แต่ยังมีตลาดต่างประเทศที่มาชดเชย โดยเฉพาะตลาดจีน แนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะเศรษฐกิจจีนยังดี กลุ่มผู้หญิงวัยทำงานหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพฤติกรรมลูกค้าจีนชื่นชอบสินค้าจากไทยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้ B+ ขึ้นไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมักจะหาซื้อสินค้าก่อนกลับประเทศ ส่วนตลาดเวียดนามก็กำลังขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดบริษัทได้เข้าไปลงทุนตั้งสำนักงานแล้วที่เวียดนาม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ส่วนแผนการตลาดใหม่จะเตรียมบุกตลาดอินโดนีเซีย ที่มีประชากรจำนวนมาก และมีกำลังซื้อสูง ส่วนการทำตลาดจีนในระยาวจะทำงานร่วมกับพาสเนอร์มากยิ่งขึ้น และมีแนวคิดที่จะตั้งโรงงานในจีน แต่จะต้องดูสถานการณ์ไปสักพักก่อน และศึกษาในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนอีกที โดยขณะนี้สัดส่วนตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 50% ในประเทศ 50% แนวโน้มสัดส่วนตลาดต่างประเทศจะมากขึ้น
สำหรับตลาดในประเทศจะเน้นการขายผ่านโมเดิร์นเทรด เช่นวัตสัน เซเว่น อีเลฟเว่น และร้านขายยา ทั่วประเทศ และขายผ่านออนไลน์ โดยจะแบ่งสัดส่วนตลาด 70 % อยู่โมเดิร์นเทรด และ30% อยู่ที่ช่องออนไลน์ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าประมาณ 10 ชนิด และเตรียมจะเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี เช่น สินค้ากลุ่มผู้ชาย เพิ่มความแข็งแรง และกลุ่มคอสเมติก เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดคอลลาเจน ที่มีมูลค่าตลาดรวมทั้งประเทศ ประมาณ 4,500 ล้านบาท
“แม้ว่าแข่งขันในการทำการตลาดที่รุนแรง และมีคู่แข่งที่มีมากขึ้นในท้องตลาด บริษัทมองว่า ไม่ใช่ปัญหา เพราะจะชูจุดแข็งของสินค้าที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย โดยในปีนี้คาดว่าธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่องจากเดิมยอดขาย 3 แสนกล่อง/เดือน ขยายตัวมาเป็น 7 แสนกล่อง/เดือน จึงทำให้บริษัททุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ขยายโรงงานการผลิต ที่ จ.ปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับตลาดที่เติบโตต่อเนื่อง และจะทุ่มงบประมาณการตลาดกว่า 60-80 ล้านบาทในการทำการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ”