นาย ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทวางแผนขยายธุรกิจทางด้านอาหารครั้งใหญ่เพื่อรุกตลาดรวมร้านอาหารในไทยที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง และมีเม็ดเงินมากกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นตลาดเซกเมนต์ร้านอาหารเครือข่ายหรือ “ฟู้ดเชน”สูงถึง 140,000 ล้านบาท โดยซีอาร์จีมีสัดส่วนในตลาดฟู้ดเชนประมาณ 8% เป็นอันดับที่ 3 ในแง่รายได้รวมจากตลาดรวม โดย ปัจจุบันซีอาร์จีมีร้านอาหารรวม 11 แบรนด์ ประกอบด้วย เคเอฟซี รายได้หลักกว่า 50%, มิสเตอร์โดนัท 18%, อาหารญี่ปุ่น เช่น โอโตยะ เปปเปอร์ลั้นช์ ชาบูตง โยชิโนยะ เทนยะ คัตสึยะ รวมกว่า 20% และยังมีอีกเช่น อานตี้แอนส์ โคลด์สโตนครีมเมอรี่ เดอะเทอเรส โดยมีเครือข่ายร้านค้ารวมกว่า 902 สาขา สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่รวม 100 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทุกแบรนด์ 1,000 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบลงทุนรวมไว้ราว 10,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ (2561-2565) ในการวางแผนลงทุนขยายธุรกิจร้านอาหารต่อเนื่อง เป้าหมายทั้งในตลาดประเทศไทย ตลาดเอเชีย และตลาดโลก ทั้งการพัฒนาแบรนด์ใหม่ การซื้อไลเซนส์ร้านอาหาร และการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ โดย งบประมาณการลงทุน แยกเป็น งบลงทุนสาขา 500 ล้านบาท งบการตลาด 500 ล้านบาท งบวางระบบไอที 200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ และการร่วมทุนรวมทั้งการซื้อกิจการ โดยปี 2561 นี้คาดว่าจะเปิดสาขาใหม่ เช่น เคเอฟซีประมาณ 20 กว่าสาขา จากขณะนี้มี 234 สาขา มิสเตอร์โดนัทเปิดใหม่ 30 กว่าสาขาจากขณะนี้ที่มี 344 สาขา อานตี้แอนส์ เปิดอีก 15 สาขาจากขณะนี้มี 150 สาขา เปปเปอร์ลั้นช์ เป็นต้น
“ โดยบริษัทคาดว่าอีก 5 ปีจะมีรายได้รวมประมาณ 22,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีรายได้รวม 11,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ (2561) ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 12,200 ล้านบาทโต 11% อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปต้องมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปีตลอด 5 ปีจากนี้ และจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 10%”
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า สำหรับสำหรับแผนและกลยุทธ์หลักที่จะใช้ผลักดันในการให้เติบโตไปได้ตามเป้าที่วางไว้นั้นอยู่ภายใต้ Change for Growth 3 ประการ ได้แก่ 1. เน้นการเพิ่มแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆในประเทศทั้งการซื้อแบรนด์ธุรกิจ ซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์และร่วมทุน รวมทั้งการสร้างคอนเซ็ปท์แนวใหม่ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อเข้าถึงและขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคซึ่งปีนี้ซีอาร์จีเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยหรือกลุ่มเอสเอ็มอีเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทำธุรกิจเนื่องจากเอสเอ็มอีเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ขณะนี้เจรจาอยู่ประมาณ 6-7 แบรนด์แล้ว ส่วนใหญ่มีร้านอยู่ในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล คาดว่าจะสรุปเจรจาได้ 2-3 แบรนด์ต่อปี 2 . ซีอาร์จียังมีแผนรุกขยายธุรกิจไปในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลมีฐานธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งอาเซียน เอเชีย และยุโรป โดยปีนี้การรุกตลาดต่างประเทศ ซีอาร์จีจะนำร่องโฟกัสตลาดอาเซียน เริ่มที่ประเทศเวียดนามเป็นอันดับแรก เนื่องจากกลุ่มเซ็นทรัลมีฐานธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ทั้งห้างบิ๊กซี โรบินส์ที่สามารถรุกตลาดได้ทันที และ 3. การพัฒนาระบบและ New DNA เพื่อรองรับการเติบโต โดยจะพัฒนา Central Kitchen เพื่อควบคุมต้นทุนและคุณภาพของอาหารเปลี่ยน POS System เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการได้ดียิ่งขึ้นและใช้ Business Intelligent (Information System) ในการจัดกลุ่มข้อมูลที่ซีอาร์จีมีอยู่ เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลให้สามารถนำมาใช้งานได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองธุรกิจในทุกระดับ รวมทั้งสร้าง New DNA พนักงานยุค 4.0
ด้าน ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาดซีอาร์จี กล่าวเสริมว่า เราให้ความสำคัญมากในส่วนของช่องทางดีลิเวอรี่มากขึ้น เนื่องจากภาพรวมธุรกิจดีลิเวอรี่เติบโตสูง ไม่ต่ำกว่า 12-15% และเป็นเทรนด์การใช้บริการของผู้บริโภครุ่นใหม่ ล่าสุด บริษัทฯ ได้ทำการปรับระบบใหม่เพื่อรองรับตลาดคาดว่าในไตรมาสสองปีนี้จะเห็นเป็นรูปธรรมได้ โดยบริษัทฯ จะรวบรวมทุกแบรนด์เข้ามาอยู่ดีลิเวอรีเดียวกัน สามารถสั่งทุกแบรนด์ได้ ที่ผ่านมาร่วมมือกับทางฟู้ดแพนด้า ไลน์แมน อูเบอร์ฟู้ด แกร็บฟู้ด เป็นต้น รวมทั้งจะขยายพันธมิตรเพิ่มด้วย