นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI เปิดเผยว่า บริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล เพื่อการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 27.50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ แบ่งเป็นจำนวนหุ้นที่เสนอขายต่อประชา-ชน 104.50 ล้านหุ้น และหุ้นที่เสนอขายต่อกรรมการและพนักงานจำนวน 5.50 ล้านหุ้น ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 200 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น

สำหรับ SPVI ประกอบธุรกิจหลักเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า Apple ทั้งคอมพิวเตอร์ ผลิต-ภัณฑ์ประเภท iOS (iPod, iPad, iPhone) และอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าอื่นๆ เพื่อใช้งานร่วมกับสินค้า Apple เป็นหลัก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า เช่น ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลสำหรับงานวิดีโอ ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลแบบพกพา ผลิตภัณฑ์ประเภทสิ่งพิมพ์และกราฟิก รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับสินค้าประเภท iOS (iPod, iPad, iPhone) เช่น ลำโพงหูฟัง รวมทั้ง Case ป้องกันการกระแทก และฟิล์มกันรอย เป็นต้น

ส่วนแผนการใช้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ โดยการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสำหรับการขายปลีกและศูนย์บริการเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงสาขา โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ประกอบด้วย การเพิ่มจุดขายใน IT City ซึ่งจะขยายตามแผนการขยายตัวของ IT City, เพิ่ม iStudio/iBeat, เพิ่ม U-Store และเพิ่มศูนย์บริการ Smart Bar นอกจาก นี้ บริษัทยังมีแผนปรับปรุงพัฒนาระบบสารสนเทศ ระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งเพื่อรองรับกลยุทธ์การตลาด ที่จะทำผ่าน Social Net-work เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการบริหารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้าให้มั่นคง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีแผนการดำเนินธุรกิจที่จะทำการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน IT กับกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ทุกวิชาชีพ ซึ่งถือเป็นช่องทางการตลาดที่สามารถขยายตัวตามแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการที่ประเทศไทยได้เริ่มใช้ 3G ทั่วประเทศและรองรับการเติบโตของ AEC ซึ่งมีคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน เป็นตัวเชื่อมในโลกแห่ง Social Network เพราะกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในระดับบุคคล และองค์กร ต่างมีความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะวิชาชีพต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพ และรวมทั้งบุคคลทั่วไปที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ตลอดช่วงชีวิต อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มองค์กรอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ด้วยผลิตภัณฑ์ และ Solution ต่างๆ ที่บริษัทมี เช่น ระบบการจัดการสี ระบบฮาร์ดดิสก์ เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับ File Server ขององค์กร เป็นต้น