ล่องใต้..แวะทะเลภูเก็ต ไหว้ "พระผุด" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง

วันจันทร์ที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2556

ล่องใต้..แวะทะเลภูเก็ต ไหว้


"พระ ณ สยาม" ฉบับนี้ยังคงพักยกเรื่องของเกจิอาจารย์กลัวท่านผู้อ่านจะเบื่อกันเสียก่อน จึงขอปรับเปลี่ยนมาที่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปดังกันบ้าง เที่ยวนี้เราล่องใต้ไปยังเกาะ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะต่างจากจังหวัดอื่นอย่างสิ้นเชิงเพราะเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพื้นที่ของจังหวัดทั้งหมดเป็นเกาะในมหา สมุทรอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังใครๆ ก็ต้องไปและ เชื่อได้เลยว่าท่านผู้อ่านก็คงไม่พลาดที่จะไปเที่ยวกันมาแล้ว นั่นคือ "จังหวัดภูเก็ต" ซึ่งที่จังหวัดนี้นอกจากจะทะเลที่สวยงาม บ้านเรือนเก่าแก่แล้วยังจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใครไปใครมาต้องไม่พลาดแวะมากราบไหว้ขอพร หนึ่งในนั้นก็คือ "พระผุด" ณ วัดพระทอง
"วัดพระทอง" หรือ "วัดพระผุด" ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นอำเภอก่อนเข้าอ.เมืองภูเก็ต ประมาณ 20 กม. เลยจากที่ว่าการ อำเภอถลาง ไปเล็กน้อยจะมีทางแยกขวา มือเข้าวัดพระทอง เดิมที่ตั้งวัดแห่งนี้เป็น ที่นามีน้ำไหลผ่าน มีลำคลอง มีทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงโค กระบือ ชาวเมืองถลางในสมัยนั้นเรียกทุ่งแห่งนี้ว่า "ทุ่งนาใน" น้ำในลำคลองไหลมาจากน้ำตกโตนไทรเทือกเขาพระแทว มีหมู่บ้านบ่อกรวดและ หมู่บ้านนาในอยู่สองข้างลำคลอง ต่อมาทุ่งนาในมีคนอยู่อาศัยมากขึ้นชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "บ้านนาใน" จนถึงปัจจุบัน
"วัดพระทอง" ตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2328 ต่อมาในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขณะนั้นดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช ได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดพระทอง" โดยวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาอยู่ระหว่างอุโบสถกับวิหารพระทอง (พระผุด) กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร วัดมีเนื้อที่ 35 ไร่ 68 ตารางวา ซึ่งที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คือ "หลวงพ่อพระทอง" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "พระผุด" จนมักเรียกติดปากกลายเป็นชื่อวัดพระผุด
ได้รู้ได้ฟังเรื่องของสถานที่ตั้ง "หลวงพ่อพระทอง" หรือ "พระผุด" กันแล้ว คราวนี้ลองไปย้อนดูถึงเรื่องของประวัติหลวงพ่อกันบ้าง จากคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดภูเก็ต เล่าขานกันว่า เมื่อสมัยสองพันปีเศษ ตระกูลเจ้าเมืองจีน (เซี่ยงไฮ้) ได้หล่อองค์พระทำด้วยทองคำขึ้น เดิมมีชื่อว่า "กิมมิ่นจ้อ" ต่อมาเซี่ยงไฮ้ได้พ่าย แพ้ต่อสงครามแก่ชนชาติธิเบตจึงนำองค์หลวงพ่อลงเรือมาทางทะเลผ่านทางมหา-สมุทรอินเดียเพื่อนำกลับประเทศธิเบต ระหว่างการเดินทางเกิดพายุพัดทำให้เรือล่มบริเวณชายฝั่งแถบจังหวัดพังงาเรือและ องค์หลวงพ่อจึงจมลง ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกทำให้บริเวณที่เรือจมเกิดเป็นแผ่นดินขึ้นคือ เกาะภูเก็ต ในปัจจุบัน ต่อมาชั้นดินบริเวณองค์หลวงพ่อเกิดทรุดตัวลงเนื่องจากอยู่ใกล้ลำคลอง องค์หลวงพ่อจึงผุดขึ้นมาให้เห็นเพียงพระเกตุมาลา สูงประมาณ 1 ศอก คนจีนเรียกว่า "พู่ฮุก" ส่วนองค์พระนั้นยังคงอยู่ใต้ดินจนถึงปัจจุบัน จึงได้หล่อองค์พระพุทธรูปครึ่งองค์สวมองค์พระทอง (พระผุด) ไว้
ขณะที่ประวัติอีกด้านหนึ่งเล่าว่า เมื่อคราวศึก พระเจ้าปะดุง ยกพลมาตีเมืองถลาง พ.ศ.2328 ทหารพม่าพยายามขุดพระผุดเพื่อนำกลับไปพม่า แต่ขุดลงไปคราวใดก็มีฝูงแตนไล่ต่อย จนต้องละความ พยายาม ต่อมาชาวบ้านได้นำทองหุ้มพระพุทธรูปที่ผุดจากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ ดังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
สำหรับตำนาน-นิทาน-เรื่องเล่าของ ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพระทองหรือพระผุดนั้นก็มีเรื่องราวเล่าสู่กันฟังสืบต่อกันมาว่า "เดิมบริเวณที่พบองค์หลวงพ่อพระทอง เป็นทุ่งนาได้เกิดพายุพัด ฝนตก น้ำท่วม หลังจากฝนหยุดแล้วได้มีเด็กชาย คนหนึ่งนำกระบือไปเลี้ยงยังทุ่งนาใน เด็กหาที่ผูกเชือกกระบือใกล้ริมลำคลองไม่ได้ แต่พบเห็นสิ่งหนึ่งลักษณะเหมือนไม้แก่นอยู่ใต้โคลนตมจึงได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้ ต่อมาเด็กคนดังกล่าวกลับมาบ้านได้เกิดเจ็บป่วยเป็นลมล้มตายในเวลาเช้านั้นเอง และกระบือที่ผูกไว้ก็ตายไปเช่นเดียวกัน พอตกกลางคืนพ่อของเด็กชายได้ฝันว่าเด็กได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำที่จมอยู่ในดิน เช้าวันต่อมาพ่อของเด็กและชาวบ้านจึงได้นำน้ำไปล้างขัดถูจึงพบว่าที่ผูกเชือกเป็นพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปชาวบ้าน จึงได้แห่กันกราบไหว้บูชาและแจ้งให้เจ้าเมืองทราบเจ้าเมืองได้สั่งการให้ขุดพระ- พุทธรูปขึ้นมาเพื่อบูชา แต่ก็ไม่สำเร็จเกิดเหตุอาเพศ เช่น ตัวต่อ ตัวแตน มาทำร้ายผู้ขุด จึงได้สั่งให้จัดทำสถานที่กราบไหว้บูชาไว้แทน มุงหลังคาเพื่อบังแดดบังลมไว้ก่อนที่จะมีการตั้งวัดขึ้นในเวลาต่อมา"
นอกจากที่วัดพระทองจะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ "พระผุด" แล้วนั้นยังจะมีแหล่งศึกษาความรู้อย่าง "พิพิธ ภัณฑสถานวัดพระทอง" เป็นอาคารขนาดใหญ่ในวัด ซึ่งภายในจะเก็บรวบ รวมโบราณวัตถุ และข้าวของเครื่องใช้ของชาวเมืองภูเก็ตที่มาจากการสะสมของวัดและการบริจาคของชาวบ้านจัดแสดงไว้มากมาย เช่น จังซุ่ยเสื้อกันฝนชาวเหมืองแร่ดีบุก รองเท้าตีนตุกของสตรีเชื้อสายจีน ที่ต้องมัดเท้าให้เล็กตามค่านิยมของสังคมสมัยนั้น นาฬิกา เหรียญ-ธนบัตร จาน-ชาม พระเครื่อง และอื่นๆ อีกมากมาย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เวลา 07.00-17.00 น.
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับการนำเที่ยวไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ "พระผุด" ณ วัดพระทอง ในครั้งนี้ หวังว่าผู้อ่านคงจะประทับใจบ้างไม่มากก็น้อย ฉบับหน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรนั้นก็ต้องติดตามกันได้ รับรองว่าเข้มข้นด้วยสาระน่ารู้และเต็มเปี่ยมด้วยมนต์ขลังอย่างแน่นอน แล้วพบกันฉบับหน้า


บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ