38 นักวิจัยจากทั่วโลกยืนยันบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยเลิกบุหรี่ ซ้ำ เสี่ยงเสพติดนิโคติน

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2563

38 นักวิจัยจากทั่วโลกยืนยันบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยเลิกบุหรี่ ซ้ำ เสี่ยงเสพติดนิโคติน


ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีงานวิจัยใหญ่ 2 ชิ้นที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ PLOS ONE (ตีพิมพ์ 2 ก.ย. 63) และ American Journal of Epidemiology (ตีพิมพ์ 27 ก.ค. 63) ซึ่งเป็นความร่วมมือของนักวิจัย 38 คนจากสถาบันต่างๆทั่วโลก เช่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก,มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก,องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ,สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ,มหาวิทยาลัยการแพทย์เซาท์แคโรไลน่าและมหาวิทยาลัยวอร์เตอร์ลูแคนาดา เป็นต้น

นักวิจัยใช้ข้อมูลจากการสำรวจประชากรเรื่องบุหรี่กับสุขภาพของสหรัฐฯหรือ Population Assessment of Tobacco and Health (PATH) Study ซึ่งถือเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 45,971 คนทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2556 และมีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน 

ดร.พญ.เริงฤดี งานวิจัยทั้ง 2 ชิ้นได้เปรียบเทียบผลของการเลิกสูบบุหรี่โดยใช้บุหรี่ไฟฟ้ากับไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า (ใช้ยาช่วยเลิกบุหรี่หรือใช้วิธีหักดิบ) ของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำและสูบเป็นครั้งคราวโดยติดตามผลอย่างน้อย 12 เดือน พบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ดีกว่าการที่ไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโดยพบว่า 2 ใน 3 ของกลุ่มที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาหลังจากเปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ กลายเป็นยังคงติดนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่ง ดร. คาเรน เมสเซอร์ นักวิจัยอาวุโสของงานวิจัยทั้งสองชิ้นกล่าวว่าผลวิจัยชี้ชัดว่าผู้สูบบุหรี่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพราะการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ใช้ ไม่มีผลต่อการเลิกสูบบุหรี่ และการไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในการช่วยเลิกบุหรี่ยังทำให้ผู้สูบบุหรี่เอาชนะการเสพติดนิโคตินได้อย่างแท้จริง

“งานวิจัยสองชิ้นนี้มีความสำคัญเพราะใช้ข้อมูลระดับประชากรในการศึกษาจึงให้ข้อมูลที่ค่อนข้างตรงกับภาวะปกติที่ผู้สูบบุหรี่เลือกใช้บุหรี่ไฟฟ้าเองอย่างอิสระไม่มีการกำกับดูแลโดยแพทย์ดังนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ได้ดีไปกว่าวิธีที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การใช้ยาช่วยเลิกบุหรี่แผ่นแปะนิโคตินหรือการหักดิบและยังทำให้ผู้สูบติดนิโคตินจนเลิกใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้หรือยังต้องสูบบุหรี่ธรรมดาคู่ไปกับบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งกรณีสูบทั้งสองประเภทนี้พบว่ามีอันตรายสูงยิ่งกว่าสูบอย่างใดอย่างหนึ่ง” 

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า บริษัทบุหรี่มักจะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ให้เลิกสูบโดยแนะให้ผู้สูบเปลี่ยนมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่อ้างว่ามีอันตรายน้อยกว่าแต่ความเป็นจริงพบว่ามีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ธรรมดามาสูบบุหรี่ไฟฟ้า 100% ส่วนใหญ่กว่าครึ่งยังจะคงสูบบุหรี่ธรรมดาต่อไปแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจะช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่เพราะถ้าต้องการที่จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงต้องทำให้มีนิโคตินในระดับที่ต่ำและไม่มีการเติมสารปรุงรสต่างๆเหมือนหมากฝรั่งนิโคตินที่เป็นยาช่วยเลิกบุหรี่

ที่สำคัญพบว่ากลุ่มที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไม่ใช่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนเกิดการเสพติดนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าจากข้อมูลในสหรัฐฯพบการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นกว่า 900% ระหว่างปี 2554-2561พบอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กม.ปลายพุ่งถึง 27.5% เทียบกับอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในผู้ใหญ่ที่มีเพียง 3.2% ซึ่งปรากฏการณ์ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นสหรัฐฯนี้ทำให้หลายประเทศประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้า ศ.นพ.ประกิต กล่าว

 

*** แหล่งข้อมูล *** 

https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0237938

https://academic.oup.com/aje/advance-article/doi/10.1093/aje/kwaa161/5876619

https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMp1916171




บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ