แพทย์ แนะเลือกทำ “เทอร์มาจ” และ “ไฮฟู่” เพื่อผิวอ่อนเยาว์ไม่อันตราย

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

แพทย์ แนะเลือกทำ “เทอร์มาจ” และ “ไฮฟู่” เพื่อผิวอ่อนเยาว์ไม่อันตราย


ในยุคสมัยนี้การยกกระชับผิวหน้าและผิวหนังบริเวณร่างกายในทุกส่วนสัดให้ดูอ่อนเยาว์เป็นเรื่องใกล้ตัว สำหรับในวงการแพทย์ผิวหนังสมัยใหม่ ความแพร่หลายไม่ได้หยุดเพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็ให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน

ศ. นพ.วรพงษ์  มนัสเกียรติ  ประธานวิชาการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เทอร์มาจ (THERMAGE) เป็นหนึ่งในวิธีการกระชับผิวและรักษาผิวหนังที่หย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัดโดยใช้พลังคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency)  ทำให้เกิดความร้อนสู่ใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เทอร์มาจจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับ บริเวณที่มีไขมันเฉพาะจุด ได้ผลดีในบริเวณที่หย่อนคล้อยมาก ๆ กระชับหน้า ให้ผิวกระชับยืดหยุ่น เรียบเนียน ลดริ้วรอยบริเวณใบหน้า เหนียง แขน ขาและหน้าท้อง  ส่วนไฮฟู่ อัลตราซาวด์ (HIFU ULTRASOUND) นั้นใช้หลักการพลังงานเสียง  HIGH-INTENSITY FOCUS ULTRASOUND ให้เกิดความร้อนไปกระตุ้นคอลลาเจน เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ไม่มีไขมันสะสม

โดยหลักการ จำง่าย ๆ ว่า เทอร์มาจ จะเห็นผลชัดเจนในเดือนที่ 3 ของการรักษา แต่ขึ้นอยู่กับสภาพของผิวด้วย ซึ่งจะเห็นผลนาน 1-2 ปี   ส่วนไฮฟู่ อัลตราซาวด์ ต้องใช้เวลาประมาณ  6  เดือนถึง 1 ปี  จึงจะเห็นผลในการรักษา  โดยในระหว่าง 2 – 4 เดือนแรกจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยทั้งสองวิธีเป็นพังผืดของหนังแท้ ให้สร้างใหม่โดยใช้เครื่องมือใหม่ในการแพทย์ ให้พลังงานความร้อนลงสู่หนังกำพร้าลงไปข้างล่างผ่านเส้นใยผิวหนัง ไปกระตุ้นเพื่อสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา

ทั้งนี้  โดยหลักการสามารถเลือกทำทั้งสองวิธีได้ในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละวิธีก็จะมีผลข้างเคียง การไหม้ของผิวหนังแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่1 คือจะเห็นริ้วรอยแดง ๆ ที่หนังกำพร้า ระดับที่  2 จะเห็นตุ่มน้ำ ถ้าแตกจะเห็นน้ำเหลืองไหลออกมา ระดับลึกลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทั้งนี้ในระดับ 2 หรือ ในระดับที่ 3  มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ ส่วนในระดับที่ 1 อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวในระยะหนึ่งเท่านั้น  

อย่างไรก็ตาม ในการรักษาโรคทุกโรค โดยเฉพาะทางด้านความสวยความงาม  ผลของการรักษาจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. ความรู้ความสามารถของแพทย์ 2. ประสิทธิภาพของเครื่องมือและยารักษาและ 3.ตัวผู้ที่มารับการรักษา ต้องปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ต้องใช้ดุลยพินิจของตนเอง ตรวจสอบประวัติแพทย์ที่จะมารักษา ว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันในแพทยสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็มีข้อมูลให้เลือกตัดสินใจโดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.dst.or.th ได้ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด




บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ